นวนิยายแนวคนแล้วสนุกฮาๆ มีสาระ ขำๆ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ บักโป้กับกะปอมทองบทที่ ๑: บักโป้ผู้ซื่อ (บื้อ) กับภารกิจพิชิตใจสาว
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนสงบสุข (แต่ก็มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผิวคล้ำแดด ผมหยิกศกกระเซิง ผู้มีดีกรีความซื่อ (จนน่าตกใจ) เป็นเลิศ กำลังนั่งเหม่อมองดอกจานที่กำลังบานสะพรั่งอย่างใจลอย
"เฮ้อ... ดอกจานบานเหลืองอร่ามคือจั่งความฮักของข้อยที่มีต่อ น้องไหม นั่นล่ะ..." บักโป้พึมพำกับตัวเอง เสียงยานคางราวกับคนเพิ่งตื่นนอนทั้งวัน
น้องไหม สาวงามประจำหมู่บ้าน ผิวขาวอมชมพู นัยน์ตากลมโตเป็นประกาย ผมยาวสลวยดำขลับ กำลังนั่งตำส้มตำอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้าบ้าน กลิ่นปลาร้าหอมหวนโชยมาเตะจมูกบักโป้จนน้ำลายสอ
"น้องไหมเอ้ย... เจ้าคือแสงตะวันในใจอ้าย..." บักโป้รำพึงรำพันต่อ แต่ด้วยความที่เสียงเบาหวิวราวกับลมพัดยอดหญ้า น้องไหมจึงไม่ได้ยินแม้แต่น้อย
เพื่อนซี้ของบักโป้ นามว่า บักเถิก หนุ่มผอมสูง หน้าตาทะเล้น ผมตั้งชี้ราวกับเสาอากาศ เดินเข้ามาตบบ่าบักโป้ดัง "ผัวะ!"
"เอ้า! บักโป้ มัวแต่นั่งคือหมาหงอยอยู่เฮ็ดหยังวะ? บ่ไปช่วยแม่ใหญ่ทำนาติ๊?" บักเถิกถามเสียงดัง
"โอ๊ย! บักเถิก สูบ่เข้าใจความฮักของข้อยดอก" บักโป้ทำหน้าเศร้าสร้อยราวกับโลกกำลังจะแตก
"ความฮักพ่อง! มึงน่ะมัวแต่ฝันหวานถึงน้องไหม จนลืมเบิ่งสังขารตัวเอง เบิ่งพุงมึงก่อนสา! คือโอ่งมังกรพุ่นแล้ว" บักเถิกแซวพลางเอามือลูบท้องบักโป้เบาๆ
บักโป้ก้มลงมองพุงตัวเองที่ยื่นออกมาอย่างภาคภูมิใจ (ในความอ้วน) แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ "ความฮักที่แท้จริง บ่ได้วัดกันที่รูปร่างหน้าตาเด้อบักเถิก มันอยู่ที่ใจ..."
"เออๆ สูเว้าถูก แต่ใจอย่างเดียวมันกินบ่ได้เด้อบักโป้ น้องไหมน่ะ เพิ่นมักผู้ชายขยันขันแข็ง บ่ใช่มักคนขี้คร้านนอนเว็นคือมึง" บักเถิกเตือนสติ
"แล้วข้อยสิเฮ็ดจั่งได๋วะ บักเถิก? หัวใจข้อยมันสั่งให้ฮักน้องไหมจนหมดสิ้นแล้ว" บักโป้โอดครวญ
"มึงก็ต้องหาหาวิธีพิชิตใจเพิ่นติ๊! บ่แม่นมานั่งจ่มอยู่จั่งซี้" บักเถิกให้คำแนะนำ
ทันใดนั้นเอง สายตาของบักโป้ก็เหลือบไปเห็นกะปอมตัวหนึ่งสีทองอร่าม กำลังไต่ย่องๆ อยู่บนรั้วบ้านน้องไหม
"บักเถิก! ข้อยคิดออกแล้ว!" บักโป้ร้องเสียงดัง จนบักเถิกสะดุ้งโหยง
"คิดออกเรื่องหยังวะ? สิไปขโมยไก่บ้านน้องไหมติ๊?" บักเถิกถามด้วยความสงสัย
"บ่แมน! ข้อยสิจับกะปอมทองตัวนั้น ไปให้น้องไหม! เพิ่นว่ากันว่า กะปอมทองเป็นสัตว์นำโชค สิเฮ็ดให้น้องไหมฮักข้อย!" บักโป้กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม
บักเถิกได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ "บักโป้เอ้ย... มึงนี่มันซื่อบื้ออีหลี! ไผบอกมึงว่ากะปอมทองนำโชค? นั่นมันนิทานหลอกเด็กน้อย!"
"บ่เป็นหยังดอกบักเถิก! บ่ลองก็บ่ฮู้! ไปซอยข้อยจับกะปอมทองเดี๋ยวนี้!" บักโป้ว่าพลางวิ่งตรงไปยังรั้วบ้านน้องไหมทันที โดยไม่ฟังคำทัดทานของเพื่อนซี้แม้แต่น้อย
บทที่ ๒: ปฏิบัติการล่ากะปอมทองสุดป่วน
บักโป้กับบักเถิกย่องเข้าไปในบริเวณบ้านน้องไหมอย่างระมัดระวัง ราวกับกำลังปฏิบัติภารกิจระดับชาติ บักโป้ตาไม่ละจากกะปอมทองที่กำลังเลื้อยต้วมเตี้ยมอยู่บนต้นมะม่วงเตี้ยๆ ใกล้กับครกตำส้มตำ
"ซู่ว์... เงียบๆ บักเถิก" บักโป้กระซิบกระซาบ
"เออๆ กูรู้แล้ว บ่ต้องมาย้ำหลาย" บักเถิกตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิว
บักโป้ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ต้นมะม่วงอย่างช้าๆ มืออวบอ้วนยื่นออกไปหวังจะตะครุบกะปอมทอง แต่ด้วยความที่ร่างใหญ่เทอะทะ ทำให้กิ่งไม้แห้งใต้เท้าหักดัง "เป๊าะ!"
กะปอมทองตกใจรีบกระโดดหนีลงจากต้นมะม่วง วิ่งหลบเข้าไปใต้ครกตำส้มตำทันที
"โอ๊ย! บักโป้ มึงนี่มันซุ่มซ่ามคือควาย!" บักเถิกสบถเบาๆ
"กะ... กะปอมมันไวโพด" บักโป้แก้ตัวหน้าแดง
ทั้งสองพยายามมองหากะปอมทองใต้ครกตำส้มตำ แต่ก็มองไม่เห็นเนื่องจากครกมีขนาดใหญ่ บักโป้ตัดสินใจค่อยๆ ยกครกขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่องดู
"ระวังๆ บักโป้ เดี๋ยวครกหล่นทับตีน" บักเถิกเตือน
แต่ยังไม่ทันที่บักโป้จะฟังคำเตือน มืออวบๆ ของเขาก็พลาด ทำให้ครกตำส้มตำหนักอึ้งหล่นลงมาดัง "โครม!" พร้อมกับน้ำส้มตำที่กระเด็นเลอะเทอะไปทั่วบริเวณ
น้องไหมที่กำลังนั่งปอกมะละกออยู่ใกล้ๆ ถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันมามองด้วยความตกใจ
"โอ๊ย! เสียงหยังวะนั่น?" น้องไหมร้องถามด้วยความสงสัย
บักโป้กับบักเถิกหน้าซีดเผือด รีบหมอบหลบอยู่หลังโอ่งน้ำใบใหญ่
"ซวยแล้วบักโป้! น้องไหมเห็นพวกเฮาแล้ว!" บักเถิกกระซิบเสียงสั่น
"บ่เป็นหยังดอก! ข้อยสิออกไปรับหน้าเอง!" บักโป้ฮึดสู้ ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับน้องไหมด้วยท่าทางมั่นใจ (แต่ในใจสั่นเป็นเจ้าเข้า)
น้องไหมมองบักโป้กับบักเถิกที่ยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าตกตะลึง มองร่องรอยน้ำส้มตำที่เลอะเทอะพื้น และครกตำส้มตำที่คว่ำอยู่
"พวกอ้ายมาเฮ็ดหยังอยู่หน้าบ้านข้อยแต่เช้าแท้?" น้องไหมถามด้วยน้ำเสียงสงสัยระคนตำหนิ
บักโป้สูดลมหายใจลึกๆ เตรียมจะกล่าวคำหวาน แต่สายตาก็ดันไปเห็นกะปอมทองตัวเดิม กำลังไต่ขึ้นมาบนขาของน้องไหมอย่างสบายอารมณ์
"น้องไหม! นั่นมัน... กะปอมทอง!" บักโป้ร้องเสียงหลง ชี้มือไปยังขาน้องไหม
น้องไหมก้มลงมองตามมือบักโป้ ก็เห็นกะปอมทองตัวเล็กๆ กำลังเกาะอยู่บนน่องของเธอจริงๆ เธอไม่ได้ตกใจอะไรมากนัก กลับยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู
"อ๋อ... เจ้าทองคำ นี่เอง" น้องไหมพูดกับกะปอมทองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
บักโป้ถึงกับอ้าปากค้าง มองภาพน้องไหมคุยกับกะปอมทองอย่างไม่เชื่อสายตา
"น้องไหม... เจ้ารู้จักมันติ๊?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"จักสิ! เจ้าทองคำนี่มันมาอยู่ที่บ้านข้อยหลายวันแล้ว มันมักมาตากแดดอยู่แถวนี้" น้องไหมตอบพลางลูบหัวกะปอมทองเบาๆ
บักโป้หน้าเจื่อนลงทันที ความหวังที่จะใช้กะปอมทองพิชิตใจสาวเริ่มริบหรี่
"แล้ว... น้องไหมบ่มักกะปอมทองติ๊?" บักโป้ถามเสียงแผ่ว
น้องไหมหัวเราะคิกคัก "บ่ได้มักปานได๋ดอกอ้าย แต่กะบ่ได้เกลียด อีหลีแล้ว ข้อยมักคนขยัน ซื่อสัตย์ และมีน้ำใจ มากกว่ากะปอมทองเด้"
คำพูดของน้องไหมราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจบักโป้ เขาหันไปมองหน้าบักเถิกด้วยความรู้สึกผิด
บทที่ ๓: บทเรียนราคาแพงของบักโป้
บักโป้ยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าสำนึกผิด
"น้องไหม... ข้อยขอโทษหลายๆ เด้อ ที่เข้ามาวุ่นวายในบ้านเจ้า แถมยังทำครกตำส้มตำเจ้าล้มอีก" บักโป้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
น้องไหมมองหน้าบักโป้ด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าหนุ่มซื่อบื้ออย่างเขาจะพูดจาสำนึกผิดเป็น
"บ่เป็นหยังดอกอ้าย เรื่องเล็กน้อย" น้องไหมตอบด้วยรอยยิ้ม "แต่ต่อไปถ้าสิมาเฮ็ดหยัง ก็บอกกันก่อนแหน่เด้อ"
"ครับน้องไหม... ต่อไปข้อยสิบ่เฮ็ดแบบนี้อีกแล้ว" บักโป้รับคำอย่างหนักแน่น
บักเถิกเดินเข้ามาตบบ่าบักโป้เบาๆ "เห็นบ่บักโป้ กูว่าแล้ว ว่าวิธีของมึงมันบ่ได้ผล"
"เออ... กูมันโง่เอง" บักโป้พึมพำ
"บ่ได้โง่ดอก แค่ซื่อหลายไปหน่อย" น้องไหมพูดเสริม "อีหลีแล้ว ข้อยเห็นอ้ายมาช่วยแม่ใหญ่ทำนาอยู่บ่อยๆ เด้ ข้อยว่านั่นล่ะคือเสน่ห์ของอ้าย"
คำพูดของน้องไหมทำให้ใบหน้าของบักโป้แดงก่ำด้วยความเขินอาย
"ตะ... แต่ว่า..." บักโป้พูดไม่ออก
"บ่มีแต่ว่าดอกอ้าย ความดี ความขยัน มันสำคัญกว่าของขวัญราคาแพงใดๆ ในโลกเด้" น้องไหมกล่าวด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
บักโป้เงยหน้ามองน้องไหมด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง เขาเพิ่งเข้าใจว่า การแสดงความจริงใจและความดีงามนั้น สำคัญกว่าการใช้สิ่งของภายนอกมาล่อลวงใจ
"ขอบคุณหลายๆ เด้อ น้องไหม ที่สอนบทเรียนสำคัญให้ข้อย" บักโป้กล่าวด้วยความเคารพ
"บ่เป็นหยังดอกอ้าย... ว่าแต่ว่า มื้อนี้พวกอ้ายกินข้าวเที่ยงแล้วบ่? มากินส้มตำฝีมือข้อยก่อนบ่?" น้องไหมชวนด้วยน้ำใจ
บักโป้กับบักเถิกมองหน้ากันด้วยความดีใจ ก่อนจะตอบพร้อมกันว่า "ไปครับ/จ้า!"
ทั้งสามนั่งกินส้มตำกันอย่างสนุกสนาน บักโป้รู้สึกว่ารสชาติส้มตำวันนี้อร่อยเป็นพิเศษ เพราะมันมาพร้อมกับบทเรียนราคาแพงที่เขาได้รับ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความรักและความสัมพันธ์ที่ดีนั้น ไม่ได้สร้างขึ้นจากการใช้สิ่งของภายนอกมาล่อใจ แต่เกิดจากความจริงใจ ความดีงาม ความขยัน และการแสดงออกด้วยการกระทำที่แท้จริง การเป็นตัวของตัวเองและทำความดีอย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นเสน่ห์ที่ยั่งยืนและสามารถพิชิตใจผู้อื่นได้อย่างแท้จริง (ถึงแม้ว่าบางทีความซื่อบื้อก็อาจจะสร้างเรื่องฮาๆ ได้บ้างก็ตาม!)
เรื่องบักโป้ ตอนที่ บักโป้กับต้นไม้พูดได้
บทที่ ๑: วันที่บักโป้ได้ยินเสียงกระซิบจากต้นไม้
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงไก่ขันและเสียงบ่นของแม่ใหญ่ทองคำ) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีพรสวรรค์ในการทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก กำลังเดินท่อมๆ เข้าไปในป่าละเมาะท้ายหมู่บ้านด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! ชีวิตข้อยนี่มันคือจั่งบักหอยโข่ง... คลานไปคลานมา บ่มีหยังน่าตื่นเต้นเลย" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเตะก้อนหินข้างทางอย่างเซ็งๆ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนจากการช่วยแม่ใหญ่ทำนา (ซึ่งส่วนใหญ่บักโป้จะนอนพักผ่อนมากกว่าช่วยทำ) บักโป้จึงตัดสินใจเดินเข้าป่าเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ (หรืออาจจะแค่อยากหลีกหนีเสียงบ่นของแม่ก็เป็นได้)
ขณะที่บักโป้เดินลึกเข้าไปในป่า พลันก็ได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาตามลม
"เอ้อ... เอ้อ... ทางนี้... ทางนี้..."
บักโป้ชะงักเท้า มองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัย
"เสียงหยังวะนั่น? หรือว่าข้อยหูแว่วไปแล้ว?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ
เขาเดินต่อไปอีกสองสามก้าว เสียงกระซิบนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม
"บัก... โป้... มา... นี่..."
บักโป้ถึงกับขนลุกซู่ รีบหันขวับไปมองรอบๆ ต้นไม้ทุกต้นยังคงยืนต้นสงบนิ่ง ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากนกกระจอกที่กำลังจิกหนอนอยู่บนพื้นดิน
"ผี... ผีป่าติ๊นี่?" บักโป้หน้าซีดเผือด เตรียมจะวิ่งหนีสุดชีวิต แต่เสียงกระซิบนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มาจากต้นมะขามเทศต้นใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา
"บักโป้... ข้อยนี่ล่ะ... ต้นไม้... เว้าได้..."
บักโป้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองต้นมะขามเทศต้นนั้นอย่างช้าๆ ดวงตาเบิกกว้างราวกับเห็นผี (ซึ่งในความคิดของเขาก็ไม่ต่างกัน)
"ตะ... ต้นไม้... เว้าได้... บ้าไปแล้ว!" บักโป้พึมพำเสียงสั่น
"ข้อยบ่ได้บ้า! เจ้าต่างหากที่ซื่อบื้อ! ข้อยเว้าได้มาตั้งนานแล้ว แต่เจ้าบ่เคยสนใจข้อยจักเทือ" ต้นมะขามเทศตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะน้อยใจ
บักโป้ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ต้นมะขามเทศอย่างระมัดระวัง เขาลูบลำต้นขรุขระของมันเบาๆ ด้วยความไม่เชื่อ
"เจ้า... เจ้าเว้าได้อีหลีติ๊?" บักโป้ถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"เออ! ข้อยเว้าได้! แล้วเจ้ามีหยังสิถามข้อยอีกบ่?" ต้นมะขามเทศตอบกลับอย่างใจเย็น
บักโป้ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สมองอันน้อยนิดของเขากำลังประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็ถามคำถามแรกออกมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
"แล้ว... เจ้าเป็นต้นไม้... เว้าได้... ได้จั่งได๋วะ?"
"มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ... พลังงาน... จักรวาล... บลาๆๆๆ..." ต้นมะขามเทศตอบอย่างขอไปที "เอาเป็นว่าข้อยเว้าได้ก็แล้วกัน! สำคัญกว่านั้นคือ เจ้ามาหาข้อยมีหยัง?"
บักโป้ตั้งสติได้ เขานึกถึงความเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวันของตัวเอง
"ข้อย... ข้อยแค่อยากหาหม่องเงียบๆ มานั่งเล่นซื่อๆ บ่คิดว่าสิเจอ... ต้นไม้เว้าได้" บักโป้ตอบ
"ฮึ! เจ้ามนุษย์นี่ก็แปลก... อยู่กับธรรมชาติแท้ๆ แต่กลับบ่เคยสังเกตสิ่งรอบข้างเลย" ต้นมะขามเทศบ่นอุบ
"เอ้า! ก็ต้นไม้มันกะคือต้นไม้... มันสิมีหยังให้สังเกต?" บักโป้เถียงกลับ
"ผิดแล้ว! ต้นไม้แต่ละต้นก็มีชีวิต มีเรื่องราว มีความรู้สึก... เหมือนกับพวกเจ้า นั่นล่ะ" ต้นมะขามเทศกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บักโป้เริ่มรู้สึกสนใจในสิ่งที่ต้นไม้พูด เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย
"แล้ว... เจ้ามีเรื่องราวหยัง๋สิเล่าให้ข้อยฟังบ่?" บักโป้ถามด้วยความอยากรู้
"มีเยอะแยะ... เรื่องของลมที่พัดผ่าน เรื่องของฝนที่ตกลงมา เรื่องของสัตว์น้อยใหญ่ที่มาอาศัยร่มเงาของข้อย... เรื่องของฤดูกาลที่หมุนเวียนเปลี่ยนผัน..." ต้นมะขามเทศเริ่มเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่มันได้พบเจอมา
บักโป้นั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าโลกของต้นไม้มันน่าสนใจขนาดนี้
บทที่ ๒: บทเรียนจากใบไม้ที่ร่วงโรย
บักโป้เริ่มมาหาต้นมะขามเทศเป็นประจำทุกวัน เขามานั่งฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ต้นไม้เล่าให้ฟัง บางครั้งก็มาปรึกษาปัญหาชีวิต (เล็กๆ น้อยๆ ของเขา) บางครั้งก็แค่มานั่งเงียบๆ ใต้ร่มเงาของมัน
วันหนึ่ง บักโป้เห็นใบไม้สีเหลืองทองบนต้นมะขามเทศค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
"เจ้า... ใบไม้เจ้ากำลังร่วงแล้ว" บักโป้พูดด้วยความเสียดาย
"มันเป็นวัฏจักรของชีวิต... มีเกิดก็ต้องมีดับ... มีผลิบานก็ต้องมีร่วงโรย" ต้นมะขามเทศตอบด้วยน้ำเสียงสงบ
"แต่ข้อยเสียดาย... ใบไม้มันสวยดี" บักโป้กล่าว
"ความสวยงามนั้นเป็นเพียงชั่วคราว... สิ่งที่สำคัญกว่าคือสิ่งที่ใบไม้ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุดแล้ว... มันสร้างอาหารให้ข้อย... มันให้ร่มเงาแก่สัตว์ต่างๆ... เมื่อมันร่วงโรย มันก็จะกลายเป็นปุ๋ยให้ดิน... ทุกสิ่งทุกอย่างในธรรมชาติล้วนมีความสำคัญและมีคุณค่าในตัวของมันเอง" ต้นมะขามเทศอธิบาย
บักโป้เงียบไป เขาเริ่มคิดถึงคำพูดของต้นไม้ เขาไม่เคยมองเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวมาก่อนเลย เขาเคยมองว่าต้นไม้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่มีความหมายอะไร
"ข้อยเริ่มเข้าใจแล้ว..." บักโป้พึมพำ
"ธรรมชาติสอนอะไรพวกเจ้ามากมาย... แต่พวกเจ้ามักจะมองข้ามมันไป" ต้นมะขามเทศกล่าว
วันต่อมา บักโป้มาหาต้นมะขามเทศพร้อมกับเสียมเล็กๆ ในมือ
"เจ้าสิเอาเสียมมาเฮ็ดหยัง?" ต้นมะขามเทศถามด้วยความสงสัย
"ข้อยสิมาพรวนดินรอบๆ โคนเจ้า... ขอบคุณที่สอนบทเรียนสำคัญให้ข้อย" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ
ต้นมะขามเทศรู้สึกอบอุ่นใจกับสิ่งที่บักโป้ทำ มันไม่เคยคิดว่าจะมีมนุษย์มาใส่ใจดูแลมันมากขนาดนี้
"ขอบคุณเจ้าเช่นกัน... บักโป้" ต้นมะขามเทศกล่าว
จากวันนั้นเป็นต้นมา บักโป้ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีกับต้นมะขามเทศ เขามาดูแลรดน้ำ พรวนดินให้มันเป็นประจำ และเขาก็เริ่มสังเกตสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในป่ามากขึ้น เขาเริ่มเห็นความสวยงามและความสำคัญของแมลงตัวเล็กๆ นกที่บินร้องเพลง และแม้กระทั่งก้อนหินที่ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต
บทที่ ๓: ความลับของเสียงกระซิบ
วันหนึ่ง บักโป้นั่งอยู่ใต้ต้นมะขามเทศอย่างเคย เขาได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เสียงนั้นไม่ได้มาจากต้นมะขามเทศ
"บัก... โป้... ช่วย... ข้อย... หน่อย..."
บักโป้ลุกขึ้นมองรอบๆ ด้วยความสงสัย
"นั่นเสียงไผวะ?" บักโป้ถาม
"นั่นเสียงของต้นไม้ต้นอื่นในป่านี้... พวกเขาก็เว้าได้เหมือนข้อย... แต่เสียงของพวกเขาจะเบากว่ามาก เจ้าต้องตั้งใจฟังดีๆ" ต้นมะขามเทศอธิบาย
บักโป้ตั้งใจฟังอย่างละเอียด ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงกระซิบเล็กๆ มาจากต้นไม้ต้นอื่นๆ ในบริเวณนั้น พวกเขากำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
"เกิดหยังขึ้นกับพวกเขา?" บักโป้ถามด้วยความกังวล
"มีคนกำลังเข้ามาตัดไม้ในป่า... พวกเขากำลังทำลายบ้านของพวกเรา" ต้นมะขามเทศตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
บักโป้รู้สึกตกใจและโกรธ เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการลักลอบตัดไม้ในป่าแห่งนี้
"พวกเฮาต้องเฮ็ดหยังสักอย่าง!" บักโป้ประกาศด้วยความมุ่งมั่น
"แต่พวกเจ้าเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ... พวกเจ้าจะสู้พวกคนเหล่านั้นได้อย่างไร?" ต้นมะขามเทศกล่าวด้วยความเป็นห่วง
"ถึงสู้บ่ได้... แต่ข้อยสิบ่ยอมให้พวกเขามาทำลายผืนป่าแห่งนี้!" บักโป้กล่าวอย่างหนักแน่น
บักโป้วิ่งกลับไปที่หมู่บ้านทันที เขาเล่าเรื่องต้นไม้พูดได้และเรื่องการลักลอบตัดไม้ให้ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านฟัง
ตอนแรกทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยบักโป้ หาว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและความมุ่งมั่นของเขา ผู้ใหญ่บ้านก็เริ่มสงสัย
"มึงเว้าความจริงติ๊ไอ้โป้?" ผู้ใหญ่บ้านถาม
"ความจริงแท้แน่นอนพ่อใหญ่! ต้นไม้มันเว้ากับข้อย! พวกมันกำลังเดือดร้อน!" บักโป้ยืนยัน
ในที่สุด ผู้ใหญ่บ้านก็ตัดสินใจนำชาวบ้านกลุ่มหนึ่งตามบักโป้เข้าไปในป่า
เมื่อพวกเขาเข้าไปลึกพอสมควรก็ได้ยินเสียงเลื่อยยนต์ดังแว่วมา และเมื่อเข้าไปใกล้ก็พบกับกลุ่มคนกำลังล้มต้นไม้ใหญ่อย่างเมามัน
ชาวบ้านโคกอีเกิ้งถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการลักลอบตัดไม้ในป่าใกล้หมู่บ้าน
ด้วยความร่วมมือของชาวบ้านและข้อมูลที่บักโป้ได้รับจากต้นไม้พูดได้ พวกเขาสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาจับกุมกลุ่มลักลอบตัดไม้ได้สำเร็จ
ผืนป่ากลับมาสงบสุขอีกครั้ง ต้นไม้ทุกต้นต่างส่งเสียงกระซิบขอบคุณบักโป้และชาวบ้าน
บทที่ ๔: บทเรียนที่บักโป้ได้รับ
หลังจากเหตุการณ์นั้น บักโป้ก็กลายเป็นฮีโร่ของหมู่บ้าน (แม้ว่าบางคนจะยังแอบขำเรื่องต้นไม้พูดได้อยู่ก็ตาม) แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ บักโป้ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับธรรมชาติ
เขาได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีความรู้สึกและความสำคัญ เขาได้เรียนรู้ว่าธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่เป็นบ้าน เป็นเพื่อน และเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่
และที่สำคัญที่สุด บักโป้ได้เรียนรู้ว่า แม้แต่ต้นไม้ที่ดูเหมือนจะเงียบงัน ก็สามารถสื่อสารและสอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับผู้ที่เปิดใจรับฟังได้
จากวันนั้นเป็นต้นมา บักโป้ก็เปลี่ยนไป เขาไม่ใช่แค่หนุ่มซื่อบื้อที่ชอบนอนกลางวันอีกต่อไป แต่เขากลายเป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าแห่งโคกอีเกิ้ง เขาคอยดูแลต้นไม้ สัตว์น้อยใหญ่ และรักษาความสมดุลของธรรมชาติ
และบางครั้ง... ในวันที่เงียบสงบ บักโป้ก็จะแวะไปนั่งใต้ต้นมะขามเทศเพื่อนเก่า และตั้งใจฟังเสียงกระซิบแผ่วเบาจากผืนป่า ราวกับว่าพวกเขากำลังเล่าเรื่องราวใหม่ๆ ให้เขาฟังอยู่เสมอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ธรรมชาติมีภาษาของมันเอง และถ้าเราเปิดใจและตั้งใจฟัง เราจะสามารถเรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่ามากมายจากสิ่งรอบตัวเราได้ การใส่ใจดูแลและรักษาธรรมชาติ ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นการรักษาชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคนด้วย (และบางที... เราอาจจะได้เพื่อนเป็นต้นไม้พูดได้ก็ได้นะ!)
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก เรื่อง บักโป้กับแม่น้ำวิเศษ
บทที่ ๑: บักโป้ผู้หิวโหยกับการผจญภัยสุดป่วน
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะคึกคัก (ด้วยเสียงไก่ขันผิดเวลาและเสียงบ่นของแม่ใหญ่ทองคำที่หาครกตำส้มตำไม่เจอ) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วคุ้งน้ำในเรื่องความซื่อ (จนน่าตี) และความสามารถพิเศษในการกินจุราวกับมีรูรั่วในกระเพาะ กำลังนั่งห้อยขาอยู่ริมตลิ่ง มองแม่น้ำอีเกิ้งที่ไหลเอื่อยๆ ด้วยสายตาเหม่อลอย
"โอ๊ย! หิวข้าวเด้... มื้อเช้ากินไปตั้งสามปั้นใหญ่ๆ มันหายไปไสเบิ้ดแล้ววะ?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางลูบท้องที่ยังคงแบนราบราวกับกระดานไม้
วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวเป็นพิเศษ บักโป้จึงตัดสินใจหนีงานช่วยพ่อใหญ่ทำนา (อีกแล้ว) มานั่งเล่นริมน้ำหวังจะคลายร้อน แต่ดูเหมือนว่าความหิวจะร้อนรุ่มกว่าอากาศเสียอีก
"ถ้าได้ปลาเผาฮ้อนๆ จ้ำกับแจ่วบอง... โอ๊ย! แซ่บอีหลีเด้อ!" บักโป้นึกภาพอาหารอันโอชะจนน้ำลายสอ
ทันใดนั้นเอง สายตาของบักโป้ก็เหลือบไปเห็นแสงระยิบระยับผิดปกติที่กลางแม่น้ำ มันเป็นประกายสีทองอร่าม ราวกับมีใครเอาทองคำแท่งไปโยนเล่น
"นั่นมันแสงหยังวะ? หรือว่าพญานาคเพิ่นมาเล่นน้ำ?" บักโป้ตาโต รีบลุกขึ้นยืนจ้องมองด้วยความสงสัย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น (และหวังว่าอาจจะมีสมบัติลอยมากับแสงนั้น) บักโป้จึงตัดสินใจเดินเลาะเลียบตลิ่งไปตามแสงนั้น แสงนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำ ราวกับกำลังนำทางเขาไปสู่บางสิ่งบางอย่าง
การเดินทางของบักโป้เริ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เขาเดินลัดเลาะไปตามริมน้ำ ผ่านทุ่งนาเขียวขจี ข้ามลำธารเล็กๆ จนในที่สุดแสงประหลาดนั้นก็พาเขามาถึงบริเวณโค้งน้ำที่กว้างใหญ่ ที่นั่นเอง บักโป้ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้าง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของบักโป้ไม่ใช่ทองคำแท่ง หรือพญานาคเล่นน้ำ แต่เป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลแยกออกมาจากแม่น้ำอีเกิ้ง น้ำในแม่น้ำสายนี้เป็นสีทองอร่าม ส่องประกายระยิบระยับราวกับมีทองคำเปลวละลายอยู่
"แม่น้ำสีทอง! นี่มันแม่น้ำวิเศษอีหลีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น
ด้วยความกระหายน้ำ (และอยากรู้อยากลอง) บักโป้จึงตัดสินใจก้มลงตักน้ำสีทองนั้นขึ้นมาดม
"หืม... กลิ่นหอมแปลกๆ คือจั่งน้ำผึ้งผสมดอกไม้" บักโป้พึมพำ ก่อนจะตัดสินใจยกขึ้นดื่มอึกใหญ่
"อื้อหือ! หวาน... หวานชื่นใจ! นี่มันน้ำหยังวะเนี่ย?" บักโป้ตาโตด้วยความประหลาดใจ รสชาติของน้ำนั้นหวานหอมชื่นใจอย่างที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน
แต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่ารสชาติของน้ำก็คือ... หลังจากที่บักโป้ดื่มน้ำสีทองนั้นเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าพุงที่เคยแบนราบของเขามันเริ่ม... ป่องออกมา!
"โอ๊ย! เกิดหยังขึ้นกับท้องข้อยวะเนี่ย?" บักโป้ร้องโวยวาย พลางลูบท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับมีลูกโป่งอยู่ในนั้น
และแล้ว... สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น! ท้องที่ป่องออกมาของบักโป้เริ่มส่งเสียงร้อง...
"กรู้ว... กรู้ว..."
"นั่นมันเสียงหยังวะ? ท้องข้อยมันร้องแปลกๆ" บักโป้หันซ้ายหันขวาด้วยความงุนงง
"บ่แม่นท้องเจ้าดอก... มันคือข้อยนี่ล่ะ" เสียงทุ้มต่ำดังมาจากท้องที่ป่องออกมาของบักโป้
บักโป้ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดฮวบลงกับพื้นดิน
"ผะ... ผี... ผีสิงท้องข้อยติ๊นี่?" บักโป้หน้าซีดเผือด เหงื่อไหลไคลย้อย
"บ่แม่นผี! ข้อยคือ... ความหิวของเจ้าที่ถูกปลุกพลังด้วยน้ำวิเศษนี่!" เสียงนั้นตอบกลับมา
บักโป้อ้าปากค้าง มองท้องตัวเองที่กำลังส่งเสียงร้องราวกับมีสัตว์ประหลาดอยู่ข้างใน
การผจญภัยสุดป่วนของบักโป้กับแม่น้ำวิเศษเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!
บทที่ ๒: ความหิวที่พูดได้กับภารกิจตามหาความลับ
บักโป้นั่งกุมท้องตัวเองด้วยความหวาดผวา ความหิวที่พูดได้ในท้องของเขามันช่างน่ากลัวและน่ารำคาญในเวลาเดียวกัน
"ข้อยหิว! ข้อยอยากกินหมูปิ้ง! ข้อยอยากกินไก่ย่าง! ข้อยอยากกินส้มตำ!" เสียงจากท้องของบักโป้ร้องโวยวายไม่หยุดหย่อน
"เงียบๆ สา! ข้อยกำลังคิดหาทางเอามึงออกไปจากท้องข้อยอยู่!" บักโป้กระซิบตอบด้วยความหงุดหงิด
"บ่มีทาง! เมื่อข้อยเข้ามาอยู่ในท้องเจ้าแล้ว ข้อยก็เป็นส่วนหนึ่งของเจ้า! เจ้าต้องเลี้ยงดูข้อยให้ดี!" ความหิวในท้องของบักโป้เถียงกลับ
ด้วยความจนปัญญา บักโป้จึงตัดสินใจเดินกลับหมู่บ้านด้วยท้องที่ป่องโตและเสียงร้องโวยวายที่ดังเป็นระยะๆ
เมื่อชาวบ้านเห็นสภาพของบักโป้ ต่างก็พากันตกตะลึงและหัวเราะลั่น
"ไอ้โป้! มึงไปกินอีหยังมาวะ? ท้องคือจั่งโอ่งมังกรพุ่นแล้ว!" บักเถิกเพื่อนซี้ของบักโป้แซว
"บ่ได้กินหยัง! ข้อยไปเจอน้ำวิเศษในป่า แล้วพอดื่มเข้าไป ท้องข้อยมันก็..." บักโป้พยายามอธิบาย แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
"น้ำวิเศษ? ฮ่าๆๆ! มึงคือสิฝันไปแล้วไอ้โป้!" บักเถิกหัวเราะไม่หยุด
แต่เมื่อเสียงร้องโหยหวนจากท้องของบักโป้ดังขึ้น ทุกคนก็เริ่มเงียบและมองหน้ากันด้วยความสงสัย
"นั่นมันเสียงหยังวะ?" แม่ใหญ่ทองคำถามด้วยความประหลาดใจ
บักโป้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ "นั่นมัน... ความหิวของข้อย... ที่มันเว้าได้!"
คำพูดของบักโป้ทำให้ชาวบ้านถึงกับเงียบกริบ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังสนั่นลั่นหมู่บ้านอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะไม่เชื่อเรื่องน้ำวิเศษ แต่พวกเขาก็สงสารบักโป้ที่ต้องทนทรมานกับความหิวที่พูดได้ในท้อง
"แล้วมึงสิเฮ็ดจั่งได๋วะไอ้โป้?" ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความเป็นห่วง
"ข้อยก็บ่ฮู้... แต่ไอ้ความหิวนี่มันบอกว่า ถ้าอยากให้มันออกไปจากท้องข้อย... ข้อยต้องตามหาความลับของแม่น้ำวิเศษ!" บักโป้ตอบด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
"ความลับของแม่น้ำวิเศษ? มันมีความลับหยังซ่อนอยู่อีกวะ?" บักเถิกถามด้วยความสงสัย
"มันบอกว่า... ที่ต้นน้ำของแม่น้ำวิเศษ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถล้างพลังวิเศษนี้ได้" บักโป้ตอบ
ด้วยความหวังที่จะกลับมาเป็นอิสระจากความหิวที่พูดได้ บักโป้จึงตัดสินใจออกเดินทางตามหาต้นน้ำของแม่น้ำวิเศษ โดยมีบักเถิกเพื่อนซี้ที่ถึงแม้จะไม่เชื่อเรื่องน้ำวิเศษ แต่ก็อดสงสารเพื่อนไม่ได้ จึงอาสาเดินทางไปด้วย
การเดินทางของบักโป้และบักเถิกเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความฮา เพราะความหิวในท้องของบักโป้จะคอยสั่งโน่นสั่งนี่ตลอดเวลา แถมยังชอบร้องเพลงเสียงดังรบกวนชาวบ้านระหว่างทางอีกด้วย
"ข้อยอยากกินไก่ทอด! ไก่ทอดเดี๋ยวนี้!" เสียงจากท้องของบักโป้ร้องลั่นขณะที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านตลาด
"เงียบๆ สา! เฮาบ่มีเงินซื้อไก่ทอดดอก!" บักโป้กระซิบตอบด้วยความอับอาย
"ถ้าเจ้าบ่ซื้อให้ข้อยกิน ข้อยสิร้องดังๆ ให้คนทั้งตลาดได้ยิน!" ความหิวขู่
สุดท้าย บักโป้ก็ต้องยอมควักเงินน้อยนิดที่ติดตัวซื้อไก่ทอดให้ความหิวในท้องจนได้
ระหว่างทาง ทั้งสองได้พบกับเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย พวกเขาเจอสัตว์ป่าที่พูดภาษาคนได้ (แต่พูดได้แค่คำเดียวคือ "หิว") พวกเขาหลงเข้าไปในหมู่บ้านคนแคระที่ชอบกินแต่หนอนทอด และพวกเขาเกือบจะถูกจับไปเป็นอาหารของยักษ์ตนหนึ่งที่ชอบกินคนอ้วนๆ
แต่ด้วยความซื่อ (บื้อ) ของบักโป้ และความทะเล้นของบักเถิก ทั้งสองก็สามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันต่างๆ มาได้อย่างหวุดหวิด
ในที่สุด การเดินทางอันยาวนานและแสนจะป่วนของบักโป้และบักเถิกก็มาถึงจุดหมายปลายทาง... ต้นน้ำของแม่น้ำวิเศษ
บทที่ ๓: บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์กับความลับที่ถูกเปิดเผย
เมื่อบักโป้และบักเถิกมาถึงต้นน้ำของแม่น้ำวิเศษ พวกเขาก็พบกับบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีน้ำใสสะอาด ส่องประกายระยิบระยับราวกับเพชร
"นี่คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไอ้ความหิวในท้องข้อยบอกติ๊?" บักโป้ถามด้วยความหวัง
"เบิ่งแล้วก็น่าจะเป็นจั่งซั่นเด้" บักเถิกตอบ
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหวานใสของหญิงสาวดังมาจากบริเวณบ่อน้ำ
"ผู้ใดกันที่เดินทางมาถึงที่นี่?"
บักโป้และบักเถิกหันไปมองตามเสียง ก็พบกับหญิงสาวสวยงามนางหนึ่ง สวมชุดขาวราวกับเทพธิดา ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ
"สะ... สวัสดีครับ/ค่ะ" บักโป้และบักเถิกกล่าวพร้อมกันด้วยความตะลึง
"ข้าคือผู้ดูแลแม่น้ำวิเศษแห่งนี้" หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม "พวกเจ้ามีธุระอันใดจึงเดินทางมาถึงที่นี่?"
บักโป้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หญิงสาวฟัง ตั้งแต่การพบแม่น้ำวิเศษ การดื่มน้ำ และการที่ความหิวพูดได้มาสิงอยู่ในท้องของเขา
หญิงสาวฟังเรื่องราวของบักโป้ด้วยความเห็นใจ
"น้ำที่เจ้าดื่มเข้าไปนั้น เป็นน้ำที่มีพลังวิเศษจริงๆ มันสามารถปลุกความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้ดื่มให้มีชีวิตขึ้นมา" หญิงสาวอธิบาย
"ความปรารถนา? หมายความว่าจั่งได๋ครับ?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ความปรารถนาของเจ้าก็คือ... ความหิวโหยอย่างไร้ขีดจำกัดนั่นเอง" หญิงสาวตอบ
บักโป้ถึงกับหน้าแดงด้วยความอับอาย
"แล้ว... ข้าจะทำอย่างไรถึงจะเอามันออกไปจากท้องได้?" บักโป้ถามด้วยความร้อนใจ
"เจ้าต้องดื่มน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้... แต่มันมีเงื่อนไข" หญิงสาวกล่าว
"เงื่อนไขหยังครับ? บอกข้ามาได้เลย ข้าจะทำทุกอย่าง!" บักโป้รีบกล่าว
"เจ้าต้องสัญญาว่าจะเลิกตะกละตะกลาม... และรู้จักพอประมาณในการกิน" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บักโป้มองหน้าหญิงสาวอย่างลังเล เขารักการกินเป็นชีวิตจิตใจ การให้เขาสัญญาว่าจะเลิกตะกละตะกลามนั้น มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
แต่เมื่อนึกถึงความทรมานที่ต้องทนกับความหิวที่พูดได้ในท้อง บักโป้ก็ตัดสินใจ
"ข้าสัญญา! ข้าจะเลิกตะกละตะกลาม... และจะกินแต่พอดี!" บักโป้กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตักน้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้บักโป้ดื่ม
เมื่อบักโป้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าไป เขาก็รู้สึกถึงพลังเย็นเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และแล้ว... เสียงร้องโวยวายจากท้องของเขาก็ค่อยๆ เงียบลง
"เงียบแล้ว! มันเงียบแล้ว!" บักโป้ร้องด้วยความดีใจ พลางลูบท้องที่กลับมาแบนราบเหมือนเดิม
"ขอบคุณท่านมาก!" บักโป้กล่าวขอบคุณหญิงสาวด้วยความซาบซึ้ง
"จงจำสัญญาของเจ้าไว้เถิด... บักโป้" หญิงสาวกล่าวเตือน
ก่อนที่บักโป้และบักเถิกจะเดินทางกลับ หญิงสาวได้เล่าความลับของแม่น้ำวิเศษให้พวกเขาฟัง
"แม่น้ำสายนี้เกิดขึ้นจากน้ำตาของนางฟ้าที่เสียใจกับการที่มนุษย์ไม่เห็นคุณค่าของอาหาร... พลังวิเศษของมันจึงเป็นการเตือนใจให้มนุษย์รู้จักคุณค่าของอาหาร และไม่กินทิ้งกินขว้าง" หญิงสาวกล่าว
บักโป้และบักเถิกฟังด้วยความรู้สึกผิด พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
บทที่ ๔: บทเรียนที่ได้รับและการเปลี่ยนแปลงของบักโป้
หลังจากกลับมาถึงหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง บักโป้ก็กลายเป็นคนใหม่ เขาเลิกตะกละตะกลาม กินอาหารแต่พออิ่ม และไม่กินทิ้งกินขว้างอีกต่อไป
ชาวบ้านต่างก็แปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงของบักโป้ บางคนก็สงสัยว่าเขาไปเจออะไรมาในการเดินทาง
บักโป้เล่าเรื่องแม่น้ำวิเศษและหญิงสาวให้ทุกคนฟัง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงมองว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขัน
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่บักโป้รู้ดีว่าเขาได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากการผจญภัยครั้งนี้
เขาได้เรียนรู้ว่าความหิวที่มากเกินไปไม่เคยนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง และการรู้จักพอประมาณในการกินต่างหากที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ บักโป้ยังเริ่มเห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น เขาช่วยพ่อใหญ่ทำนาอย่างขยันขันแข็ง และไม่เคยปล่อยให้ข้าวแม้แต่เม็ดเดียวต้องสูญเปล่า
และที่สำคัญที่สุด บักโป้ได้เรียนรู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งลึกลับและน่าอัศจรรย์อีกมากมาย ที่รอให้เขาค้นพบ เพียงแค่เขาเปิดใจและสังเกตสิ่งรอบข้าง
จากหนุ่มซื่อบื้อที่เอาแต่กิน บักโป้ได้กลายเป็นชายหนุ่มที่รู้จักคุณค่าของสิ่งต่างๆ และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น
ส่วนบักเถิก... ถึงแม้จะยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องแม่น้ำวิเศษร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาก็ยอมรับว่าการเดินทางครั้งนี้ได้เปลี่ยนเพื่อนของเขาไปในทางที่ดีขึ้น
และบางครั้ง... ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว บักโป้ก็จะแวะไปนั่งเล่นริมแม่น้ำอีเกิ้ง มองสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ด้วยความรู้สึกขอบคุณ และระลึกถึงหญิงสาวผู้ดูแลแม่น้ำวิเศษ ที่ได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับเขา
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความปรารถนาที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความทุกข์ การรู้จักพอประมาณและเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ต่างหากคือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง และบางครั้ง... การเดินทางที่ดูเหมือนจะตลกขบขัน อาจนำเราไปพบกับความลับและบทเรียนอันยิ่งใหญ่ของชีวิตก็ได้!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๕: บักโป้กับหมู่บ้านลึกลับ
บทที่ ๑: หลงป่าเพราะตามหาเห็ดประหลาด
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะวุ่นวาย (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่หาย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบสาว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีพรสวรรค์ในการทำเรื่องธรรมดาให้กลายเป็นเรื่องพิสดาร กำลังเดินลึกเข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้านด้วยตะกร้าสานใบใหญ่ในมือ
"มื้อนี้ข้อยต้องหาเห็ดเผาะแซ่บๆ ไปฝากน้องไหมให้ได้!" บักโป้พึมพำกับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น ใบหน้าอิ่มเอิบไปด้วยความหวัง
สืบเนื่องจากความพยายามในการพิชิตใจน้องไหม (ที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ) บักโป้ได้ยินมาว่าน้องไหมชอบกินแกงเห็ดเผาะเป็นพิเศษ เขาจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องหาเห็ดเผาะสดๆ ไปปรุงอาหารให้เธอได้ชิมฝีมือ
บักโป้เดินลัดเลาะไปตามทางแคบๆ ในป่า ดวงตาคมกริบ (เฉพาะเวลาหาของกิน) สอดส่ายมองหาเห็ดเผาะที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ใบไม้แห้ง แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับเห็ดประหลาดดอกหนึ่ง มันมีสีม่วงสดใส ขนาดใหญ่กว่าเห็ดเผาะทั่วไป แถมยังมีลายจุดสีทองเรืองรอง
"โอ้โห! เห็ดอีหยังวะเนี่ย? บ่เคยกินจักเทือ! แต่มันคือสิแซ่บคักเติบ!" บักโป้ตาโตด้วยความประหลาดใจและอยากลอง เขาไม่เคยเห็นเห็ดที่มีสีสันสวยงามเช่นนี้มาก่อน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น (และคิดว่าน้องไหมอาจจะชอบอะไรที่แปลกใหม่) บักโป้จึงตัดสินใจเก็บเห็ดสีม่วงดอกนั้นใส่ตะกร้าไปด้วย โดยลืมไปเสียสนิทว่าเป้าหมายหลักของเขาคือเห็ดเผาะ
บักโป้เดินตามหาร่องรอยของเห็ดเผาะต่อไป แต่ยิ่งเดินลึกเข้าไปในป่า เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆ ต้นไม้สูงตระหง่านจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึง เสียงนกร้องก็ดูเหมือนจะไม่คุ้นหู แถมทิศทางที่เขาเดินมาก็เริ่มสับสน
"เอ... ข้อยเข้ามาลึกปานนี้เลยติ๊นี่? คือจั่งบ่คุ้นหม่องเลยวะ?" บักโป้เริ่มรู้สึกใจไม่ดี เขามองไปรอบๆ ตัว แต่ก็เห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่คุ้นตา
บักโป้พยายามเดินย้อนกลับทางเดิม แต่เขาก็พบว่าตัวเองหลงทางเสียแล้ว ป่าแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีทางออก ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนวนอยู่ในที่เดิม
"ซวยแล้ว! ข้อยหลงป่าอีหลีติ๊นี่?" บักโป้เริ่มร้อนรน เหงื่อไหลไคลย้อยด้วยความกังวล
ในขณะที่บักโป้กำลังเดินอย่างไร้จุดหมาย เขาก็สังเกตเห็นทางเดินเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะมีคนเดินมาก่อนหน้านี้ ด้วยความหวังว่าจะนำเขาไปสู่ทางออก บักโป้จึงตัดสินใจเดินตามทางนั้นไป
ทางเดินนั้นคดเคี้ยวเลี้ยวลด พาบักโป้เดินลึกลงไปในหุบเขา จนในที่สุดเขาก็มาถึงบริเวณที่โล่งแห่งหนึ่ง ที่นั่นเอง บักโป้ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงอีกครั้ง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของบักโป้คือ... หมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา หมู่บ้านแห่งนี้ดูแปลกประหลาด บ้านเรือนสร้างด้วยไม้รูปทรงที่ไม่คุ้นตา ผู้คนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันแปลกตา และที่สำคัญ... ไม่มีใครที่บักโป้รู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
"นี่มัน... หมู่บ้านหยังวะเนี่ย? บ่เคยเห็นจักเทือ!" บักโป้อุทานด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อนเลย
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ (และหวังว่าจะหาทางกลับบ้านได้จากที่นี่) บักโป้จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้
บทที่ ๒: การต้อนรับที่แสนประหลาด
เมื่อบักโป้ก้าวเข้าไปในหมู่บ้านลึกลับ ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็หันมามองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้มาก่อน
"นั่นใครกัน?" เสียงชายชราคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงแปลกๆ
"ข้า... ข้าหลงทางเข้ามาครับ" บักโป้ตอบด้วยความสุภาพ
ผู้คนในหมู่บ้านเริ่มเดินเข้ามาใกล้บักโป้ พวกเขามีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากชาวบ้านโคกอีเกิ้ง บางคนมีผิวสีเขียวอ่อน บางคนมีหูที่ยาวเหมือนกระต่าย และบางคนก็มีดวงตาสีเหลืองอำพัน
"เจ้ามาจากที่ใดกัน?" หญิงสาวคนหนึ่งถามด้วยภาษาที่บักโป้ฟังดูคุ้นหู แต่ก็มีสำเนียงแปลกๆ
"ข้ามาจากหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง... อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่" บักโป้ตอบ
เมื่อได้ยินชื่อหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง ผู้คนในหมู่บ้านก็แสดงท่าทีแปลกใจ พวกเขาซุบซิบกันด้วยเสียงที่เบาหวิว
"โคกอีเกิ้ง? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้มาก่อน" ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าว
คำพูดของชายหนุ่มทำให้บักโป้เริ่มรู้สึกใจไม่ดี
"เป็นไปได้อย่างไร? หมู่บ้านข้าออกจะใหญ่โต..." บักโป้พยายามแย้ง
"ที่นี่ไม่มีใครรู้จักหมู่บ้านที่เจ้าพูดถึง" หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บักโป้ยืนอึ้ง เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หมู่บ้านโคกอีเกิ้งเป็นหมู่บ้านที่รู้จักกันดีในแถบนี้ ทำไมคนในหมู่บ้านนี้ถึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย
ในขณะที่บักโป้กำลังสับสน ชายชราคนเดิมก็เดินเข้ามาใกล้เขา
"เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?" ชายชราถามด้วยสายตาที่จ้องมองบักโป้อย่างพิจารณา
บักโป้เล่าเรื่องการตามหาเห็ดเผาะและการหลงทางให้ชายชราฟัง รวมถึงเรื่องเห็ดสีม่วงประหลาดที่เขาเก็บมาด้วย
เมื่อชายชราเห็นเห็ดสีม่วงในตะกร้าของบักโป้ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
"นั่นมัน... ดอกไม้มรณะ!" ชายชราร้องอุทานเสียงดัง ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตกใจไปด้วย
"ดอกไม้มรณะ? มันคืออะไรครับ?" บักโป้ถามด้วยความหวาดหวั่น
"มันเป็นดอกไม้พิษร้ายแรง! ใครที่สัมผัสหรือกินเข้าไป จะต้อง..." ชายชราพูดไม่จบประโยค แต่สีหน้าของเขาก็บอกทุกอย่าง
บักโป้รีบโยนตะกร้าเห็ดทิ้งทันที หัวใจของเขาเต้นระรัวด้วยความกลัว
"แล้วข้า... ข้าจับมันมาตั้งนานแล้วจะเป็นอะไรไหมครับ?" บักโป้ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"ยังโชคดีที่เจ้ายังไม่ได้สัมผัสมันโดยตรง... แต่พิษของมันสามารถแผ่กระจายออกมาได้ หากเจ้าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงนานเกินไป" ชายชราตอบ
คำพูดของชายชราทำให้บักโป้รู้สึกแย่ เขาไม่เพียงแต่หลงทางเข้ามาในหมู่บ้านลึกลับเท่านั้น แต่เขายังนำดอกไม้พิษร้ายแรงเข้ามาด้วย
"พวกเราต้องช่วยเขา" หญิงสาวกล่าวด้วยความเห็นใจ
ชายชราพยักหน้า "พาเขาไปที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์... ที่นั่นอาจมีวิธีถอนพิษได้"
ชาวบ้านพาบักโป้ไปยังบ่อน้ำเล็กๆ กลางหมู่บ้าน ที่นั่น พวกเขาทำพิธีแปลกประหลาด โดยการร่ายรำและสวดมนต์ด้วยภาษาที่บักโป้ไม่เข้าใจ จากนั้นพวกเขาก็ให้น้ำจากบ่อมาล้างมือและใบหน้าของบักโป้
หลังจากพิธีเสร็จสิ้น บักโป้ก็รู้สึกดีขึ้น อาการมึนงงและคลื่นไส้ที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้หายไป
"ขอบคุณท่านมากครับ" บักโป้กล่าวขอบคุณชาวบ้านด้วยความซาบซึ้ง
"เจ้าต้องระวังให้มากกว่านี้... ป่าแห่งนี้มีสิ่งลึกลับมากมายที่เจ้าไม่รู้จัก" ชายชราเตือน
"แล้ว... ข้าจะหาทางกลับบ้านได้อย่างไรครับ?" บักโป้ถามด้วยความกังวล
ชายชรามองหน้าบักโป้อย่างครุ่นคิด "ทางกลับบ้านของเจ้า... มันไม่ง่ายนัก"
บทที่ ๓: ปริศนาของหมู่บ้านที่หายไป
หลังจากที่บักโป้ปลอดภัยจากพิษของดอกไม้มรณะ ชาวบ้านก็ให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น พวกเขาแบ่งปันอาหารและที่พักให้บักโป้ แต่ถึงกระนั้น บักโป้ก็ยังคงกังวลเรื่องการกลับบ้าน
"หมู่บ้านของพวกท่าน... มันตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ครับ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเลย?" บักโป้ถามชายชราด้วยความสงสัย
ชายชราถอนหายใจยาว "หมู่บ้านของพวกเรา... เป็นหมู่บ้านที่ถูกลืมเลือนไปแล้ว"
"ถูกลืมเลือน?" บักโป้ทวนคำด้วยความงุนงง
"เมื่อนานมาแล้ว... หมู่บ้านของพวกเราเคยเป็นหมู่บ้านที่รุ่งเรือง แต่แล้วก็เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ทำให้หมู่บ้านของเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก... ผู้คนค่อยๆ ลืมเลือนพวกเราไป" ชายชราเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
"แล้วทำไม... ข้าถึงเข้ามาที่นี่ได้?" บักโป้ถาม
"ป่าแห่งนี้มีทางเชื่อมต่อกับโลกภายนอก... แต่ทางนั้นถูกปิดซ่อนไว้ด้วยเวทมนตร์... มีเพียงผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์และมีโชคชะตาเท่านั้นที่จะบังเอิญผ่านมาได้" หญิงสาวอธิบาย
คำพูดของหญิงสาวทำให้บักโป้รู้สึกแปลกใจ เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์หรือมีโชคชะตาพิเศษอะไร
"แล้วข้าจะกลับบ้านได้อย่างไร?" บักโป้ย้ำคำถามเดิม
"ทางเดียวที่จะกลับบ้านได้... คือการหาประตูมิติที่ซ่อนอยู่ในป่าแห่งนี้" ชายชราตอบ
"ประตูมิติ?" บักโป้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
"มันเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกของพวกเรากับโลกภายนอก... แต่ประตูนั้นจะเปิดออกเพียงชั่วครู่ และจะปรากฏเฉพาะในคืนพระจันทร์เต็มดวง" หญิงสาวเสริม
เมื่อได้ยินคำว่า "คืนพระจันทร์เต็มดวง" บักโป้ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นคืนพระจันทร์ข้างขึ้น อีกหลายวันกว่าพระจันทร์เต็มดวงจะมาถึง
"แล้วข้าต้องรออีกหลายวันเลยติ๊นี่?" บักโป้ถามด้วยความกังวล
"ระหว่างนี้ เจ้าสามารถพักผ่อนและเรียนรู้เรื่องราวของหมู่บ้านพวกเราได้" ชายชรากล่าว
ในช่วงเวลาที่บักโป้อยู่ในหมู่บ้านลึกลับ เขาได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่แตกต่างของชาวบ้านที่นี่ พวกเขามีความผูกพันกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง และมีภูมิปัญญาที่น่าทึ่ง
บักโป้ได้เห็นพืชพรรณและสัตว์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้ฟังเพลงและนิทานพื้นบ้านที่แปลกหู และได้ลิ้มลองอาหารรสชาติที่แตกต่าง
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดถึงบ้าน แต่บักโป้ก็เริ่มรู้สึกผูกพันกับผู้คนในหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้ พวกเขาใจดีและเป็นมิตรกับเขามาก
แต่เมื่อคืนพระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามา บักโป้ก็เริ่มกระวนกระวายใจ เขาต้องหาทางกลับบ้านให้ได้
บทที่ ๔: การเดินทางกลับบ้านและการเรียนรู้ครั้งสำคัญ
ในคืนพระจันทร์เต็มดวง บักโป้ได้รับการนำทางจากชายชราและหญิงสาวไปยังบริเวณป่าลึกแห่งหนึ่ง ที่นั่น มีแท่นหินโบราณตั้งอยู่กลางลาน
"นี่คือประตูมิติ... เมื่อแสงจันทร์ส่องลงมาตรงแท่นหิน ประตูจะเปิดออกชั่วครู่" ชายชราอธิบาย
บักโป้ยืนรอด้วยใจจดจ่อ เมื่อแสงจันทร์สีนวลส่องลงมาตรงแท่นหิน ก็ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้น และตรงหน้าของพวกเขาก็ปรากฏช่องว่างคล้ายประตู
"ประตูเปิดแล้ว... เจ้าต้องรีบไป" หญิงสาวกล่าวด้วยความเสียใจ
บักโป้หันไปมองหน้าชายชราและหญิงสาวด้วยความรู้สึกผูกพัน
"ขอบคุณทุกท่านมาก... ที่ช่วยเหลือข้า" บักโป้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"จงเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ... และจงจำเรื่องราวของพวกเราไว้" ชายชรากล่าว
บักโป้ก้าวเข้าไปในประตูมิติ แสงสว่างค่อยๆ เลือนหายไป และเขาก็กลับมายืนอยู่ที่ป่าท้ายหมู่บ้านโคกอีเกิ้งอีกครั้ง
เมื่อบักโป้กลับถึงบ้าน ชาวบ้านต่างก็ดีใจที่เขาปลอดภัย เขาเล่าเรื่องราวการหลงเข้าไปในหมู่บ้านลึกลับให้ทุกคนฟัง แต่ส่วนใหญ่ก็คิดว่าเขาคงจะฝันไป
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่บักโป้รู้ดีว่าสิ่งที่เขาเจอมานั้นเป็นเรื่องจริง การเดินทางครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
เขาได้เรียนรู้ว่าโลกนี้ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมากมาย และการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นั้นเป็นสิ่งสำคัญ
บักโป้เลิกเดินป่าตามลำพังโดยไม่ระมัดระวัง และเขาก็เริ่มใส่ใจกับสิ่งรอบข้างมากขึ้น
และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็ดเผาะไปฝากน้องไหมในวันนั้น แต่บักโป้ก็ได้ของฝากที่ล้ำค่ากว่านั้นกลับมา... นั่นคือประสบการณ์และบทเรียนที่เขาจะไม่มีวันลืม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: โลกนี้ยังมีสิ่งลึกลับและน่าค้นหาอีกมากมาย การเปิดใจเรียนรู้และเคารพในสิ่งที่แตกต่าง เป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางของชีวิต และบางครั้ง... การหลงทางก็อาจนำเราไปพบกับประสบการณ์ที่ไม่คาดฝัน และบทเรียนอันล้ำค่าได้เช่นกัน!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ บักโป้กับนกพูดได้
บทที่ ๑: วันที่บักโป้ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่ไม่ธรรมดา
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครื้นเครง (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่ออกไข่น้อยลง และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมดังลั่นทุ่ง) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องความซื่อ (จนน่าหยิกแก้ม) และความสามารถพิเศษในการทำทุกอย่างให้ดูวุ่นวายกว่าเดิม กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมบึงด้วยใบหน้าเซ็งโลก
"โอ๊ย! มื้อนี้คือเงียบแท้... ปลาคือบ่กินเบ็ดข้อยจักโตวะ?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเกาหัวแกรกๆ จนรังมดที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกปีกกว้างแทบจะแตก
วันนี้เป็นวันว่างจากการช่วยพ่อใหญ่ทำนา (ซึ่งส่วนใหญ่บักโป้จะนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้มากกว่าช่วยไถนา) บักโป้จึงตัดสินใจมาตกปลาหวังจะได้ปลาไปทำอาหารเย็น แต่ดูเหมือนว่าปลาในบึงวันนี้จะนัดกันไปทำสปาที่อื่นเสียหมด
ในขณะที่บักโป้กำลังจะล้มเลิกความตั้งใจ เสียงเจื้อยแจ้วเล็กๆ ก็ดังมาจากบนต้นมะม่วงริมบึง
"แฮ่มๆ... ท่านหนุ่มรูปงาม... ท่านกำลังประสบปัญหาในการจับปลาใช่หรือไม่?"
บักโป้ชะงักมือที่กำลังจะเก็บเบ็ด มองขึ้นไปยังต้นมะม่วงด้วยความสงสัย
"เสียงหยังวะนั่น? หรือว่าข้อยหูแว่วไปแล้วเพราะแดดมันฮ้อนโพด?" บักโป้ขยี้ตา มองหาต้นตอของเสียง
แล้วเขาก็ได้เห็น... นกแก้วตัวหนึ่ง ขนสีเขียวสดใส ปากสีแดงแปร๊ด กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมแป๋ว
"เจ้า... เจ้าเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถามนกแก้วด้วยความตกตะลึง
"แน่นอนสิ! ข้าคือนกแก้วผู้ฉลาดเฉลียวแห่งป่าโคกอีเกิ้ง! นามของข้าคือ 'เจื้อยแจ้ว'!" นกแก้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
บักโป้อ้าปากค้าง มองนกแก้วที่กำลังกระโดดไปมาบนกิ่งไม้อย่างไม่เชื่อสายตา
"นก... นกเว้าได้... ข้อยบ่ได้ฝันไปแม่นบ่?" บักโป้หยิกแก้มตัวเองอย่างแรง
"โอ๊ย!" บักโป้ร้องเสียงหลง "เจ็บอีหลี! แสดงว่าข้อยบ่ได้ฝัน!"
"ท่านหนุ่ม... ท่านมีปัญหาเรื่องปลาใช่หรือไม่?" เจื้อยแจ้วถามซ้ำ
บักโป้พยักหน้าหงึกๆ "เออ... ปลาบ่มักเบ็ดข้อยเลย"
"ฮึ! นั่นก็เพราะท่านไม่รู้จักวิธีการที่ถูกต้อง!" เจื้อยแจ้วกล่าวด้วยท่าทางเหมือนผู้เชี่ยวชาญ
"แล้วเจ้าฮู้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยความหวัง
"แน่นอน! ข้าอาศัยอยู่แถวนี้มานาน ข้ารู้ว่าปลาในบึงนี้ชอบกินอะไร และเวลาไหนพวกมันถึงจะออกมาหากิน!" เจื้อยแจ้วคุยโว
บักโป้ตาโต "อีหลีติ๊? ถ้าจั่งซั่น... เจ้าซอยข้อยแหน่ได้บ่?"
"ได้สิ! แต่ท่านต้องสัญญาว่าจะฟังข้าอย่างตั้งใจ และทำตามที่ข้าบอกทุกอย่าง!" เจื้อยแจ้วยื่นข้อเสนอ
ด้วยความอยากได้ปลา บักโป้จึงรีบตอบตกลงทันที โดยไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา
บทที่ ๒: แผนจับปลาสุดป่วนของนกเจื้อยแจ้ว
เจื้อยแจ้วเริ่มให้คำแนะนำบักโป้ในการจับปลาอย่างละเอียด
"อันดับแรก ท่านต้องเปลี่ยนเหยื่อ! ปลาในบึงนี้เบื่อไส้เดือนแล้ว! พวกมันชอบกิน..." เจื้อยแจ้วเงียบไปครู่หนึ่ง ทำท่าครุ่นคิด
"ชอบกินหยังวะ?" บักโป้ถามด้วยความกระวนกระวาย
"ชอบกิน... มะม่วงสุก!" เจื้อยแจ้วประกาศเสียงดัง
"หือ? มะม่วงสุก? ปลาบ่ได้กินแต่แมลงติ๊?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ท่านอย่าสงสัยในความรู้ของข้า! ปลาในบึงนี้เป็นปลาที่รักสุขภาพ พวกมันชอบกินผลไม้ที่มีวิตามินสูง!" เจื้อยแจ้วยืนยัน
ด้วยความไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่อยากขัดใจนกพูดได้ บักโป้จึงปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงสุกที่ร่วงอยู่ใต้ต้น แล้วนำมาเกี่ยวเบ็ดแทนไส้เดือน
"ต่อไป ท่านต้องโยนเบ็ดไปตรงพุ่มบัวตรงนั้น! ปลาตัวใหญ่ๆ ชอบซ่อนตัวอยู่แถวนั้น!" เจื้อยแจ้วชี้ปีกไปยังพุ่มบัวกลางบึง
บักโป้ทำตามที่เจื้อยแจ้วบอกอย่างว่าง่าย เขาโยนเบ็ดที่เกี่ยวด้วยมะม่วงสุกไปยังพุ่มบัว แล้วนั่งรออย่างใจจดจ่อ
ผ่านไปพักใหญ่... ก็ไม่มีปลามากินเบ็ดแม้แต่ตัวเดียว
"บ่เห็นมีปลามากินเลยเจื้อยแจ้ว... เจ้าแน่ใจติ๊นี่?" บักโป้เริ่มสงสัยในคำแนะนำของนกแก้ว
"ใจเย็นๆ ท่านหนุ่ม! ปลาพวกนี้มันขี้อาย! ท่านต้องร้องเพลงกล่อมมัน!" เจื้อยแจ้วกล่าว
"ร้องเพลงกล่อมปลา? เพลงหยังวะ?" บักโป้ถามด้วยความงงงวย
"เพลงอะไรก็ได้ที่ท่านถนัด! ขอให้เป็นเพลงที่ไพเราะจับใจ!" เจื้อยแจ้วตอบ
ด้วยความอยากได้ปลา บักโป้จึงเริ่มฮัมเพลงลูกทุ่งที่เขาพอจะจำเนื้อได้ เสียงร้องทุ้มต่ำของบักโป้ผสมกับเสียงเจื้อยแจ้วของนกแก้ว กลายเป็นคอนเสิร์ตสุดประหลาดริมบึง
แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิม... ไม่มีปลามากินเบ็ด
"เจื้อยแจ้ว... ข้อยว่าแผนของเจ้ามันบ่ได้ผลแล้วล่ะ" บักโป้เริ่มท้อแท้
"อย่าเพิ่งยอมแพ้! ข้ายังมีแผนสุดท้าย!" เจื้อยแจ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
"แผนหยังอีกวะ?" บักโป้ถามอย่างเหนื่อยหน่าย
"ท่านต้องลงไปในน้ำ แล้วทำท่าเหมือนหนอนกำลังไชดิน! ปลาพวกนี้มันชอบกินหนอน!" เจื้อยแจ้วกระพือปีกด้วยความตื่นเต้น
บักโป้มองเจื้อยแจ้วด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความสิ้นหวัง
"ข้อยว่า... ข้อยกลับบ้านไปกินข้าวดีกว่า..." บักโป้ลุกขึ้นยืน เตรียมจะเก็บเบ็ด
"เดี๋ยว! ท่านอย่าเพิ่งไป! ท่านไม่ได้ฟังข้าเลย!" เจื้อยแจ้วร้องเสียงดัง
"ข้อยฟังเจ้าตลอดเด้เจื้อยแจ้ว! เปลี่ยนเหยื่อเป็นมะม่วง ร้องเพลงกล่อมปลา ลงไปทำท่าหนอน... มันบ่ได้ผลจักอย่าง!" บักโป้โวยวาย
"นั่นแหละคือปัญหา! ท่านฟังแต่เสียงของท่าน! ท่านไม่ได้ฟังเสียงของปลา!" เจื้อยแจ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บักโป้ชะงัก มองหน้านกแก้วด้วยความสงสัย
บทที่ ๓: เสียงที่ถูกมองข้าม
"เสียงของปลา?" บักโป้ทวนคำด้วยความงุนงง
"ใช่! ปลาแต่ละตัวก็มีเสียงของมัน! พวกมันสื่อสารกันด้วยเสียง! ถ้าท่านตั้งใจฟัง ท่านจะรู้ว่าพวกมันชอบอะไร และกำลังทำอะไรอยู่!" เจื้อยแจ้วอธิบาย
"ปลา... มันเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยความไม่เชื่อ
"ไม่ใช่การพูดเหมือนพวกเจ้า! แต่เป็นการส่งคลื่นเสียงในน้ำ! คลื่นเสียงที่บ่งบอกถึงความรู้สึก ความต้องการ และอันตราย!" เจื้อยแจ้วกล่าว
บักโป้ลองนั่งลงริมบึงอีกครั้ง เขาตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงที่มาจากในน้ำ แต่สิ่งที่เขาได้ยินก็มีแค่เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ และเสียงลมพัดใบไม้
"ข้อยบ่ได้ยินหยังเลยเจื้อยแจ้ว" บักโป้กล่าว
"ท่านต้องตั้งใจมากกว่านี้! ปิดตา แล้วฟังด้วยหัวใจ!" เจื้อยแจ้วแนะนำ
บักโป้หลับตาลง เขาพยายามจดจ่อกับเสียงที่มาจากในบึง ในตอนแรกเขาก็ยังคงไม่ได้ยินอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่มาจากใต้น้ำ
"รู้สึกถึงหยังบ่?" เจื้อยแจ้วถาม
"รู้สึกถึง... แรงสั่นเบาๆ" บักโป้ตอบ
"นั่นแหละคือเสียงของปลา! ตอนนี้ ลองตั้งใจฟังว่าพวกมันกำลังสื่อสารอะไรกัน!" เจื้อยแจ้วกล่าว
บักโป้พยายามตั้งใจฟังแรงสั่นสะเทือนนั้น ในที่สุดเขาก็เริ่มแยกแยะความแตกต่างของแรงสั่นสะเทือนได้ บางครั้งก็เบาและถี่ บางครั้งก็หนักและช้า
"ข้าได้ยิน... เสียงมันแตกต่างกัน" บักโป้กล่าว
"ใช่แล้ว! เสียงเบาและถี่ หมายถึงพวกมันกำลังหาอาหารอย่างสงบสุข! เสียงหนักและช้า หมายถึงพวกมันกำลังหวาดระแวงหรือรู้สึกถึงอันตราย!" เจื้อยแจ้วอธิบาย
"แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกมันชอบกินอะไร?" บักโป้ถาม
"ท่านต้องสังเกต! เมื่อพวกมันส่งเสียงแบบไหน แล้วมีอะไรเกิดขึ้นรอบๆ ตัวพวกมัน! ท่านต้องใช้การสังเกตควบคู่ไปกับการฟัง!" เจื้อยแจ้วกล่าว
บักโป้เริ่มสังเกตอย่างตั้งใจ เมื่อเขาโยนเหยื่อลงไปในน้ำ เขาก็พยายามฟังเสียงของปลา และสังเกตปฏิกิริยาของพวกมัน
ในที่สุด บักโป้ก็เริ่มเข้าใจ... ปลาบางตัวชอบเหยื่อที่ตกลงไปเบาๆ บางตัวชอบเหยื่อที่เคลื่อนไหวช้าๆ และบางตัวก็ไม่สนใจเหยื่อเลยเมื่อมีเสียงดังรบกวน
บักโป้ลองเปลี่ยนวิธีการตกปลา เขาโยนเหยื่ออย่างเบามือ รออย่างอดทน และเงียบเสียง
แล้วในที่สุด... เบ็ดของบักโป้ก็กระตุก!
"ติดแล้ว! ติดแล้ว!" บักโป้ร้องด้วยความตื่นเต้น
เขาค่อยๆ สาวเบ็ดขึ้นมา และก็ได้ปลาตัวใหญ่สมใจอยาก
"ข้อยจับปลาได้แล้วเจื้อยแจ้ว! ขอบคุณเจ้าหลายๆ!" บักโป้หันไปขอบคุณนกแก้วด้วยความดีใจ
"เห็นไหมล่ะท่านหนุ่ม! การฟังสำคัญกว่าที่ท่านคิด!" เจื้อยแจ้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม (ถ้าหากนกแก้วยิ้มได้)
บทที่ ๔: บทเรียนจากเพื่อนขนปีก
หลังจากวันนั้น บักโป้ก็กลายเป็นนักตกปลาฝีมือดี เขาไม่ได้พึ่งแค่โชคช่วยอีกต่อไป แต่เขาใช้การสังเกตและการฟังเสียงของปลาเป็นหลัก
เขามักจะมานั่งคุยกับเจื้อยแจ้วริมบึง เจื้อยแจ้วไม่ได้สอนแค่เรื่องการจับปลา แต่ยังสอนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับธรรมชาติให้บักโป้อีกด้วย
บักโป้ได้เรียนรู้ว่าสัตว์ทุกชนิดมีภาษาของมันเอง มีวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกันไป ถ้าเราตั้งใจฟังและสังเกต เราก็จะเข้าใจโลกของพวกมันมากขึ้น
เขาได้เรียนรู้ว่าการฟังไม่ได้สำคัญแค่กับการจับปลา แต่ยังสำคัญกับการใช้ชีวิตด้วย การฟังผู้อื่นอย่างตั้งใจ จะช่วยให้เราเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของพวกเขา
บักโป้เริ่มเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น เขาตั้งใจฟังแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ (ถึงแม้ว่าบางทีก็จะเผลอหลับไปบ้าง) เขาตั้งใจฟังไอ้เถิกคุยโม้เรื่องสาวๆ (ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น) และที่สำคัญที่สุด... เขาตั้งใจฟังน้องไหมพูดคุยเรื่องต่างๆ (และพยายามหาโอกาสแทรกคำหวานไปด้วย)
ถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก แต่เขาก็มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ... เขาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการฟัง
และทุกครั้งที่บักโป้มาตกปลาริมบึง เขาก็จะไม่ลืมที่จะทักทายนกแก้วเพื่อนรักของเขา
"มื้อนี้ปลาเป็นจั่งได๋บ้างเจื้อยแจ้ว?"
"วันนี้พวกมันบอกว่าอยากกินข้าวโพด!" เจื้อยแจ้วตอบกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: การฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่การได้ยินเสียง แต่เป็นการทำความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นต้องการสื่อสาร การเปิดใจรับฟังเสียงที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเสียงของธรรมชาติ หรือเสียงของเพื่อนมนุษย์ จะนำมาซึ่งความเข้าใจ และทำให้เราใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขมากขึ้น (และบางที... เราอาจจะได้เพื่อนเป็นนกแก้วที่ฉลาดเฉลียวก็ได้นะ!)
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๗: บักโป้กับภูเขาเคลื่อนที่
บทที่ ๑: วันที่ภูเขาลุกขึ้นเดิน
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะอลเวง (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำโวยวายเรื่องหม้อปลาร้าหาย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนหมาเห่าหอน) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเขย่าๆ) และความสามารถพิเศษในการนอนหลับได้ทุกที่ทุกเวลา กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่หน้ากระท่อมด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! มื้อนี้บ่มีหยังเฮ็ดเลย... ชีวิตข้อยคือจั่งควายเฒ่า นอนเว็นกินหญ้าไปวันๆ" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเงยหน้ามองภูเขาอีเกิ้งลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท้ายหมู่บ้านอย่างเคยชิน
ภูเขาอีเกิ้งเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง ตั้งแต่บรรพบุรุษก็เห็นมันอยู่ตรงนั้น ไม่เคยมีใครคิดว่ามันจะขยับเขยื้อนไปไหนได้
แต่แล้ว... สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น!
ในขณะที่บักโป้กำลังจะเผลอหลับคาไม้ไผ่ เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่พื้นดิน
"แผ่นดินไหวติ๊นี่?" บักโป้ลืมตาโพลง มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นไม่ได้รุนแรงเหมือนแผ่นดินไหว มันเป็นแรงสั่นสะเทือนที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ช้าๆ
ทันใดนั้นเอง บักโป้ก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อเขาสังเกตเห็นว่า... ภูเขาอีเกิ้งลูกใหญ่ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ท้ายหมู่บ้านนั้น... กำลังเคลื่อนที่!
มันเคลื่อนที่อย่างช้าๆ แต่ก็เห็นได้ชัดเจน ราวกับเต่าตัวมหึมากำลังคลาน
"บ๊ะ! ข้อยตาฝาดไปแล้วติ๊นี่? ภูเขามัน... มันเดินได้ติ๊?" บักโป้ร้องอุทานเสียงหลง รีบลุกขึ้นยืนจ้องมองภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่อย่างไม่เชื่อสายตา
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูเหตุการณ์ประหลาดนี้ด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
"ภูเขา... ภูเขามันเคลื่อนที่อีหลี!" แม่ใหญ่ทองคำร้องเสียงหลง มือสั่นเทา
"เกิดหยังขึ้นวะเนี่ย? โลกกำลังจะแตกติ๊?" ไอ้เถิกหน้าซีดเผือด
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนตั้งสติ แต่สีหน้าของเขาก็ดูไม่ต่างจากคนอื่นๆ เท่าไหร่
"ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมภูเขาถึงเคลื่อนที่!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก บักโป้กลับยืนมองภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้มากกว่าความกลัว
"มันกำลังไปทางไหนวะนั่น?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ของภูเขา
ภูเขากำลังเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออก... มุ่งหน้าไปยังหนองน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้าน
"มันสิไปไสน้อ?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ "หรือว่ามัน... หิวน้ำ?"
ความคิดสุดแสนจะซื่อ (บื้อ) ของบักโป้ ทำให้คนที่กำลังตื่นตระหนกเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
บทที่ ๒: บักโป้ นักสืบภูเขา
เมื่อความตกใจเริ่มจางหาย ผู้ใหญ่บ้านก็เรียกประชุมชาวบ้านเพื่อหาสาเหตุของการเคลื่อนที่ของภูเขาอีเกิ้ง
"ใครพอจะรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมภูเขาถึงเคลื่อนที่ได้?" ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ชาวบ้านต่างก็ส่ายหน้า ไม่มีใครให้คำตอบได้
"หรือว่า... มีพญานาคตนใหญ่มาแบกภูเขาไป?" แม่ใหญ่ทองคำเสนอความเห็น (ที่ฟังดูเหมือนนิทานมากกว่าเหตุผล)
"บ่แม่นพญานาคดอกแม่ใหญ่... มันต้องมีหยังที่ข้อยยังบ่ฮู้" บักโป้กล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด
"แล้วมึงสิฮู้อิหยังวะไอ้โป้? มึงมันกะแค่คนซื่อบื้อ" ไอ้เถิกแซว
"ถึงข้อยสิซื่อ... แต่ข้อยกะมีความสงสัย! ภูเขามันบ่ได้ลุกขึ้นเดินเองดอก! มันต้องมีไผ๋ หรือมีหยังอยู่ข้างใต้มัน!" บักโป้ยืนกราน
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ บักโป้จึงตัดสินใจออกสำรวจภูเขาอีเกิ้งด้วยตัวเอง เขาเดินวนรอบภูเขา พยายามสังเกตหาร่องรอยที่ผิดปกติ
"ดินตรงนี้มันคือจั่งถูกไถมาหมาดๆ" บักโป้พึมพำ พลางลูบดินที่ยังชื้นๆ บริเวณเชิงเขา
เขาสังเกตเห็นรอยครูดขนาดใหญ่บนพื้นดิน ราวกับมีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากเคลื่อนที่ผ่านไป
"รอยนี่... มันต้องเป็นรอยของหยังที่ใหญ่มากๆ แน่ๆ" บักโป้ตาโต
บักโป้เดินตามรอยครูดนั้นไปเรื่อยๆ รอยนั้นนำเขาไปจนถึงด้านหลังของภูเขา ซึ่งเป็นด้านที่ชาวบ้านไม่ค่อยได้เข้าไป
และแล้ว... บักโป้ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง!
สิ่งที่อยู่ด้านหลังของภูเขาอีเกิ้งไม่ใช่พื้นดินธรรมดา แต่เป็น... ขาขนาดมหึมา! ขาที่มีผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม มีเกล็ดแข็งๆ ปกคลุม และมีเล็บเท้าที่ใหญ่ราวกับกระท่อม!
"บ๊ะ! นี่มัน... ขาของหยังวะเนี่ย?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
เขามองตามขาขนาดมหึมานั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นส่วนลำตัว... มันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเต่า แต่มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาเสียอีก!
"เต่า... เต่าที่ใหญ่ปานภูเขา!" บักโป้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สัตว์ประหลาดเต่ายักษ์กำลังเดินอย่างช้าๆ โดยมีภูเขาอีเกิ้งอยู่บนกระดองของมัน!
"แสดงว่า... ภูเขาอีเกิ้ง... บ่ได้เป็นภูเขาอีหลี! มันคือ... กระดองเต่า!" บักโป้ถึงกับร้องเสียงหลง
เขารีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อบอกสิ่งที่เขาค้นพบ
บทที่ ๓: ความลับของเต่าภูเขา
เมื่อบักโป้เล่าเรื่องเต่ายักษ์ที่แบกภูเขาให้ชาวบ้านฟัง ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย
"ไอ้โป้เอ้ย! มึงคือสิเพี้ยนไปแล้ว! เต่าที่ไหนมันจะใหญ่ปานภูเขา!" ไอ้เถิกหัวเราะจนท้องแข็ง
"ข้อยเว้าความจริงเด้! ข้อยเห็นกับตา!" บักโป้ยืนกราน
แต่ไม่มีใครเชื่อเขา จนกระทั่งบักโป้พาผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปดูร่องรอยและขาขนาดมหึมาของเต่ายักษ์ที่เขาเจอ
เมื่อชาวบ้านได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึงและเชื่อในสิ่งที่บักโป้พูดในที่สุด
"แล้ว... ทำไมเต่ายักษ์ถึงเดินล่ะ?" ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความสงสัย
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันกำลังมุ่งหน้าไปทางหนองน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้าน" บักโป้ตอบ
ชาวบ้านพากันไปดูเต่ายักษ์ที่กำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปยังหนองน้ำใหญ่ เมื่อเต่ายักษ์มาถึงหนองน้ำ มันก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์
"มัน... มันคงจะร้อน" บักโป้พึมพำ
แล้วพวกเขาก็สังเกตเห็นว่า บนกระดองของเต่ายักษ์ (ซึ่งก็คือภูเขาอีเกิ้ง) มีพืชพรรณและสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย ราวกับเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่
"แสดงว่า... ภูเขาอีเกิ้ง... เป็นบ้านของสัตว์พวกนี้" หญิงชราคนหนึ่งกล่าวด้วยความเข้าใจ
"แล้วทำไมเต่าถึงต้องเคลื่อนที่?" ผู้ใหญ่บ้านยังคงสงสัย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องไห้ดังมาจากบนภูเขาอีเกิ้ง
"ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย!"
บักโป้และชาวบ้านมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขารีบปีนขึ้นไปบนภูเขาอีเกิ้งเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อขึ้นไปถึง พวกเขาก็พบกับฝูงลิงจำนวนมาก กำลังล้อมรอบรังนกขนาดใหญ่ที่กำลังถูกไฟไหม้
"ไฟไหม้!" บักโป้ร้องอุทาน
"พวกเราต้องช่วยพวกมัน!" ผู้ใหญ่บ้านสั่ง
ชาวบ้านรีบช่วยกันดับไฟที่กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์
ในขณะที่ทุกคนกำลังร้อนรน บักโป้ก็สังเกตเห็นว่าเต่ายักษ์ที่อยู่ในหนองน้ำ กำลังพ่นน้ำขึ้นมาดับไฟ!
น้ำจำนวนมหาศาลถูกพ่นขึ้นไปบนภูเขาอีเกิ้ง ดับไฟได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
เมื่อไฟดับสนิท ฝูงลิงก็ส่งเสียงร้องขอบคุณเต่ายักษ์
"แสดงว่า... เต่ายักษ์... มันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนหลังของมัน!" บักโป้ตาโตด้วยความเข้าใจ
"มันคงจะรู้สึกถึงความเดือดร้อนของสัตว์ที่อาศัยอยู่บนกระดองของมัน" หญิงชรากล่าว
บทที่ ๔: บทเรียนจากเต่าผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้บนภูเขาอีเกิ้ง ชาวบ้านก็เข้าใจถึงเหตุผลที่ภูเขาเคลื่อนที่
เต่ายักษ์ไม่ได้เคลื่อนที่เพราะหิวน้ำ แต่เคลื่อนที่เพื่อไปยังแหล่งน้ำ เพื่อดับไฟที่กำลังไหม้บ้านของสัตว์ที่อาศัยอยู่บนกระดองของมัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านโคกอีเกิ้งตระหนักถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ พวกเขาไม่เคยมองภูเขาอีเกิ้งในมุมนี้มาก่อน พวกเขาคิดว่ามันเป็นแค่ภูเขา แต่จริงๆ แล้วมันคือบ้านของสิ่งมีชีวิตมากมาย
บักโป้กลายเป็นฮีโร่ของหมู่บ้านอีกครั้ง (ถึงแม้ว่าเรื่องเล่าของเขาจะเริ่มแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ) เขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต อาจมีความรู้สึกและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
ชาวบ้านเริ่มดูแลรักษาป่าไม้และสัตว์ป่าบนภูเขาอีเกิ้งมากขึ้น พวกเขาเข้าใจว่าภูเขาไม่ได้เป็นแค่สัญลักษณ์ของหมู่บ้าน แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ต้องได้รับการดูแล
ส่วนเต่ายักษ์ หลังจากดับไฟแล้ว มันก็ค่อยๆ เคลื่อนที่กลับไปยังที่เดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ มุมมองของชาวบ้านที่มีต่อภูเขาอีเกิ้ง พวกเขาไม่ได้มองมันเป็นแค่ภูเขาอีกต่อไป แต่มองมันด้วยความเคารพและตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
และบักโป้... เขาก็ยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องพิสดาร แต่เขาก็เป็นคนที่เปิดใจเรียนรู้และสังเกตสิ่งรอบข้างเสมอ
บางครั้ง... ในวันที่เงียบสงบ บักโป้จะนั่งมองภูเขาอีเกิ้งด้วยรอยยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ภายใต้ผืนดินและต้นไม้บนนั้น ยังมีเต่ายักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยดูแลทุกชีวิตอยู่
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: สิ่งที่เรามองเห็น อาจไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นจริง การเปิดใจสังเกตและทำความเข้าใจในสิ่งที่อยู่รอบตัว จะทำให้เราได้เรียนรู้ถึงความยิ่งใหญ่และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของธรรมชาติ และบางครั้ง... ภูเขาที่ดูเหมือนจะไม่มีชีวิต ก็อาจมีความลับและความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๘: บักโป้กับดวงจันทร์หายไป
บทที่ ๑: คืนเดือนมืดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องหมาเห่าเสียงดัง และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่หนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าเอาไม้เรียวเขกหัวเบาๆ) และความสามารถพิเศษในการหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวโดยไม่ตั้งใจ กำลังนอนแผ่หลาอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้ากระท่อม มองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย
"โอ๊ย! มื้อนี้คือมืดคักแท้... คือจั่งบ่มีเดือนมีตะเว็นเลยวะ?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเกาพุงพลุ้ยๆ อย่างสงสัย
คืนนี้เป็นคืนที่ควรจะมีพระจันทร์ส่องสว่างเต็มดวง บักโป้ตั้งใจว่าจะออกมานั่งชมจันทร์กับน้องไหม (ตามประสาคนกำลัง "จีบ") แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นท้องฟ้าที่มืดสนิท ราวกับมีใครเอาผ้าดำผืนใหญ่มาคลุมไว้
"หรือว่า... ฝนกำลังจะตก?" บักโป้เงยหน้ามองหาเมฆ แต่ท้องฟ้ากลับโปร่งใส ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูท้องฟ้าด้วยความตกใจและงุนงง
"ดวงจันทร์หายไปไสวะเนี่ย?" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"บ่เคยเห็นจั่งซี้มาก่อนเลย! คืนเดือนเพ็ญแท้ๆ แต่ฟ้ามืดตึ๊บ!" แม่ใหญ่ทองคำร้องเสียงหลง
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนใจเย็นๆ แต่สีหน้าของเขาก็ดูวิตกกังวลไม่น้อย
"ทุกคนอย่าตื่นตระหนก! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมดวงจันทร์ถึงหายไป!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนและหวาดกลัว บักโป้กลับยืนมองท้องฟ้ามืดมิดด้วยความคิดที่แตกต่างออกไป
"มันบ่ได้หายไปซื่อๆ ดอก... มันต้องมีไผ๋... หรือมีหยัง... เอาดวงจันทร์ไป!" บักโป้ประกาศเสียงดัง ทำเอาชาวบ้านหันมามองหน้าเขาด้วยความงงงวย
"มึงเว้าหยังวะไอ้โป้? ไผสิเอาดวงจันทร์ไปได้?" ไอ้เถิกถามด้วยความขำขัน
"ก็ต้องมีคน... หรือสัตว์... หรืออะไรสักอย่างที่มันใหญ่มากๆ!" บักโป้ยืนกรานความคิดสุดแสนจะซื่อ (บื้อ) ของเขา
แล้วบักโป้ก็เริ่มจินตนาการถึงสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์ ที่มีมือยาวเฟื้อย เอื้อมไปคว้าดวงจันทร์ลงมาจากฟ้า ราวกับกำลังเด็ดลูกโป่ง
ความคิดสุดเพี้ยนของบักโป้ ทำให้ชาวบ้านที่กำลังตื่นตระหนกเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง
บทที่ ๒: บักโป้ นักสืบอวกาศจำเป็น
เมื่อไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าดวงจันทร์หายไปไหน บักโป้จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักสืบจำเป็น ออกตามหาร่องรอยของดวงจันทร์ที่หายไป
"พวกเราต้องหาเบาะแส! ต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ!" บักโป้ประกาศกร้าว พร้อมกับชวนไอ้เถิกออกไปสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน
"มึงสิไปหาเบาะแสอีหยังวะไอ้โป้? มึงสิไปถามหมาถามแมวติ๊?" ไอ้เถิกถามด้วยความเหนื่อยหน่าย
"บ่แมน! ข้อยสิไปเบิ่งว่ามีรอยเท้าแปลกๆ หรือมีของใหญ่ๆ ตกอยู่แถวนี้บ่!" บักโป้ยืนยัน
ทั้งสองเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน ส่องไฟฉายไปตามทุ่งนา ป่าละเมาะ และริมบึง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
"เห็นบ่ล่ะไอ้โป้? บ่มีหยังผิดปกติเลย! ดวงจันทร์มันอาจจะแค่... หลบไปพักผ่อนก็ได้!" ไอ้เถิกเริ่มหมดความอดทน
"บ่มีทาง! ดวงจันทร์มันต้องอยู่บนฟ้าตลอด! มันบ่มีขาคือพวกเฮา!" บักโป้เถียงกลับ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น บักโป้ก็สังเกตเห็นรอยประหลาดบนพื้นดิน มันเป็นรอยกลมๆ ขนาดใหญ่ ราวกับมีอะไรกลมๆ หนักๆ มาวางทับไว้
"เบิ่งนี่! รอยหยังวะเนี่ย?" บักโป้ชี้ให้ไอ้เถิกดู
ไอ้เถิกก้มลงดูรอยนั้นด้วยความสงสัย
"มันคือรอยหยังวะ? คือจั่ง... รอยลูกบอลยักษ์?" ไอ้เถิกเกาหัวแกรกๆ
รอยกลมๆ นั้นนำทางบักโป้และไอ้เถิกไปจนถึงบริเวณทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน ที่นั่น พวกเขาก็พบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือ... หลุมขนาดใหญ่! หลุมที่มีขนาดพอๆ กับสระน้ำในหมู่บ้าน และที่ก้นหลุมนั้น... มีแสงสีขาวนวลเรืองรอง
"นั่นมัน... แสงของดวงจันทร์!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกใจ
"ดวงจันทร์... มันตกลงมาอยู่ในหลุมนี่ติ๊?" ไอ้เถิกตาโต
ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หลุม มองลงไปข้างล่าง ก็เห็นดวงจันทร์กลมโต นอนสงบนิ่งอยู่ที่ก้นหลุม
"แต่... ทำไมดวงจันทร์มันถึงมาอยู่ในหลุมนี่ได้วะ?" บักโป้ถามด้วยความงุนงง
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากในหลุม... เสียง "วี้... วู้..." คล้ายเสียงหวีดหวิวของอะไรบางอย่าง
แล้วพวกเขาก็เห็น... สิ่งมีชีวิตประหลาดตัวหนึ่ง ลอยขึ้นมาจากก้นหลุม มันมีรูปร่างคล้ายแมงกะพรุนขนาดใหญ่ แต่มีสีเขียวเรืองแสง และมีหนวดยาวเฟื้อย
"นั่นมัน... ตัวหยังวะ?" ไอ้เถิกตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันคือสิเป็นคน... หรือสัตว์... หรืออะไรสักอย่างที่เอาดวงจันทร์มาไว้ในหลุมนี่!" บักโป้ตอบด้วยความมั่นใจ (แบบผิดๆ)
บทที่ ๓: บักโป้ ปะทะ เอเลี่ยนแมงกะพรุน
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดลอยขึ้นมาจากหลุม บักโป้ก็เกิดความกล้าหาญอย่างประหลาด (หรืออาจจะเป็นความซื่อบื้อที่ทำให้ไม่กลัวอะไร)
"เฮ้ย! เจ้าเป็นไผ! เอากะจันทร์ของพวกข้อยคืนมาเดี๋ยวนี้!" บักโป้ตะโกนใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุนตัวนั้น
เอเลี่ยนแมงกะพรุนหยุดลอย มองมาที่บักโป้และไอ้เถิกด้วยดวงตากลมโตสีดำสนิท
"วี้... วู้..." เสียงประหลาดดังออกมาจากตัวมัน
"มันว่าจั่งได๋วะ?" ไอ้เถิกกระซิบถามบักโป้ด้วยความหวาดระแวง
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันคือสิ บ่เข้าใจภาษาคน" บักโป้ตอบ
บักโป้พยายามสื่อสารกับเอเลี่ยนแมงกะพรุนด้วยท่าทาง เขาชี้ไปที่ดวงจันทร์ในหลุม แล้วชี้ขึ้นไปบนฟ้า ทำท่าเหมือนกำลังยกของหนักๆ
เอเลี่ยนแมงกะพรุนมองตามท่าทางของบักโป้ด้วยความงุนงง แล้วมันก็ส่งเสียง "วี้... วู้..." อีกครั้ง พร้อมกับชี้หนวดไปที่ดวงจันทร์
"มัน... มันคือสิอยากได้ดวงจันทร์อีหลี!" บักโป้สรุปเอาเอง
ด้วยความคิดที่ว่าเอเลี่ยนแมงกะพรุนกำลังขโมยดวงจันทร์ บักโป้จึงตัดสินใจที่จะ "ทวงคืน" ดวงจันทร์ด้วยกำลัง
"บักเถิก! ซอยข้อยจับมัน!" บักโป้สั่ง
"ห๊ะ? จับตัวเขียวๆ นั่นติ๊? มึงบ้าไปแล้วติ๊ไอ้โป้! มันตัวใหญ่กว่าพวกเฮาอีก!" ไอ้เถิกปฏิเสธเสียงหลง
แต่บักโป้ไม่ฟัง เขาพุ่งเข้าใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุนอย่างไม่เกรงกลัว
"เฮ้ย! ปล่อยดวงจันทร์ของพวกข้อยเดี๋ยวนี้!" บักโป้ตะโกน พลางกระโดดคว้าหนวดของเอเลี่ยนแมงกะพรุน
เอเลี่ยนแมงกะพรุนตกใจ สะบัดหนวดไปมาอย่างแรง ทำให้บักโป้ปลิวหวือ ตกลงไปในหลุมข้างๆ ดวงจันทร์
"ไอ้โป้!" ไอ้เถิกตะโกนด้วยความตกใจ
บักโป้ลุกขึ้นมาปัดฝุ่น มองไปที่เอเลี่ยนแมงกะพรุนที่กำลังลอยวนอยู่เหนือหลุมด้วยความโกรธ
"มึงอยากสู้ติ๊! ได้เลย!" บักโป้ฮึดสู้ เตรียมจะปีนขึ้นไปต่อสู้
แต่แล้ว... เขาก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องชะงัก
ที่ตัวของเอเลี่ยนแมงกะพรุน มีอุปกรณ์บางอย่างติดอยู่ มันเป็นเหมือนท่อเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับดวงจันทร์
"นั่นมัน... ท่อหยังวะ?" บักโป้พึมพำ
แล้วเขาก็เห็นว่า แสงสีขาวนวลจากดวงจันทร์ กำลังถูกดูดเข้าไปในท่อเล็กๆ นั้น
"มัน... มันกำลังสูบแสงของดวงจันทร์!" บักโป้ตาโตด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
บทที่ ๔: ความลับของเครื่องดูดแสงจันทร์
เมื่อบักโป้คิดว่าเอเลี่ยนแมงกะพรุนกำลังสูบแสงของดวงจันทร์ เขาจึงยิ่งโมโห
"มึงกล้าดีจั่งได๋มาสูบแสงจันทร์ของพวกข้อย! ข้อยสิบ่ยอม!" บักโป้ตะโกน พร้อมกับคว้าก้อนหินข้างๆ ตัว ขว้างใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุน
ก้อนหินถูกตัวเอเลี่ยนแมงกะพรุนดัง "ปุ๊ก!" เอเลี่ยนแมงกะพรุนส่งเสียง "วี้... วู้..." ด้วยความตกใจ แล้วมันก็รีบลอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
"หนีไปแล้ว! ข้อยไล่มันสำเร็จแล้ว!" บักโป้ร้องด้วยความดีใจ
ไอ้เถิกรีบวิ่งมาดูบักโป้ที่อยู่ในหลุม
"มึงบ่เป็นหยังใช่บ่ไอ้โป้?"
"ข้อยสบายดี! แต่ไอ้ตัวเขียวๆ นั่นมันหนีไปแล้ว! มันคงจะกลัวฝีมือข้อย!" บักโป้คุยโว
แต่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า บักโป้ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดวงจันทร์ยังคงอยู่ในหลุม
"เอ... ทำไมดวงจันทร์มันยังอยู่ในหลุมวะ?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ
แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่า แสงสีขาวนวลที่ออกมาจากดวงจันทร์ มันไม่ได้ส่องสว่างเหมือนเมื่อก่อน มันดูหม่นแสงลงไปมาก
"แสงจันทร์... มันอ่อนลง!" บักโป้พึมพำ
ทันใดนั้นเอง เขาก็เข้าใจ... เอเลี่ยนแมงกะพรุนไม่ได้กำลังสูบแสงจันทร์ แต่มันกำลัง... ให้แสงจันทร์!
"บ๊ะ! ข้อยเข้าใจผิด!" บักโป้ร้องอุทาน
เขานึกถึงอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับตัวเอเลี่ยนแมงกะพรุน มันไม่ได้ดูเหมือนเครื่องดูด แต่ดูเหมือนเครื่องฉายแสงมากกว่า
"มัน... มันคือสิเป็นคนเอาดวงจันทร์ลงมาไว้ในหลุมนี่... แล้วมันก็กำลังฉายแสงให้ดวงจันทร์!" บักโป้สรุปเอาเองอีกครั้ง (แต่ครั้งนี้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น)
แล้วทำไมเอเลี่ยนแมงกะพรุนถึงต้องทำแบบนั้น? บักโป้เริ่มสงสัย
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นอย่างช้าๆ แสงสีทองของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมา
"ตะเว็นขึ้นแล้ว!" ไอ้เถิกอุทาน
เมื่อแสงอาทิตย์ส่องสว่างเต็มที่ บักโป้ก็เห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงเป็นครั้งสุดท้าย
สิ่งที่อยู่ในหลุม ไม่ใช่ดวงจันทร์จริงๆ! มันเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ สีขาวนวล ที่มีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ แต่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
และเอเลี่ยนแมงกะพรุน... มันกำลังใช้พลังงานจากตัวมันเอง ฉายแสงไปที่วัตถุนั้น ทำให้มันดูเหมือนดวงจันทร์ในเวลากลางคืน!
"มัน... มันบ่ใช่ดวงจันทร์อีหลี!" บักโป้ร้องอุทาน
แล้วเขาก็เข้าใจทุกอย่าง... ดวงจันทร์จริงๆ อาจจะหายไปจากท้องฟ้าด้วยเหตุผลบางอย่าง และเอเลี่ยนแมงกะพรุน (หรือสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่น) ได้สร้าง "ดวงจันทร์ปลอม" ขึ้นมา เพื่อไม่ให้โลกมืดมิด!
"มัน... มันกำลังซอยพวกเฮา!" บักโป้พึมพำด้วยความรู้สึกผิดที่ขว้างหินใส่เอเลี่ยนผู้มีน้ำใจ
เมื่อแสงอาทิตย์สว่างจ้า เอเลี่ยนแมงกะพรุนก็ค่อยๆ ลอยกลับลงไปในหลุม พร้อมกับดับแสงที่ฉายไปยัง "ดวงจันทร์ปลอม"
ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าสดใส ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บักโป้และไอ้เถิกมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกตะลึง งุนงง และรู้สึกขอบคุณอย่างประหลาด
บทที่ ๕: บทเรียนจากดวงจันทร์ที่ไม่ใช่ดวงจันทร์
หลังจากเหตุการณ์ "ดวงจันทร์หายไป" ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ ชาวบ้านค่อยๆ ลืมเรื่องคืนเดือนมืดประหลาดนั้นไป
แต่สำหรับบักโป้แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญ
เขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นจริง การด่วนตัดสินใจโดยไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการกระทำที่ผิดพลาดได้
บักโป้เริ่มเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เขาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อยู่รอบตัว ก่อนที่จะด่วนสรุป
และถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะสร้างเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ แต่เขาก็มีความคิดที่ลึกซึ้งขึ้น
เขาเข้าใจว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ อาจมีสิ่งมีชีวิตและเรื่องราวที่เราไม่เคยคาดคิดซ่อนอยู่
และทุกคืน เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บักโป้ก็จะมองดวงจันทร์ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขาไม่ได้มองมันเป็นแค่ดวงจันทร์อีกต่อไป แต่เขามองมันด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า... เบื้องหลังแสงสีขาวนวลนั้น อาจมีเพื่อนต่างดาวตัวเขียวๆ กำลังทำหน้าที่อย่างเงียบๆ อยู่ก็เป็นได้!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อย่าด่วนตัดสินใจในสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน การพยายามทำความเข้าใจในทุกด้าน และการเปิดใจรับฟังความเป็นไปได้ต่างๆ จะช่วยให้เรามองโลกได้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น และบางที... ผู้ที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาด อาจเป็นผู้ที่มีน้ำใจและความเสียสละอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๘: บักโป้กับดวงจันทร์หายไป
บทที่ ๑: คืนเดือนมืดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องหมาเห่าเสียงดัง และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่หนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าเอาไม้เรียวเขกหัวเบาๆ) และความสามารถพิเศษในการหาเรื่องเดือดร้อนมาใส่ตัวโดยไม่ตั้งใจ กำลังนอนแผ่หลาอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้ากระท่อม มองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย
"โอ๊ย! มื้อนี้คือมืดคักแท้... คือจั่งบ่มีเดือนมีตะเว็นเลยวะ?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเกาพุงพลุ้ยๆ อย่างสงสัย
คืนนี้เป็นคืนที่ควรจะมีพระจันทร์ส่องสว่างเต็มดวง บักโป้ตั้งใจว่าจะออกมานั่งชมจันทร์กับน้องไหม (ตามประสาคนกำลัง "จีบ") แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นท้องฟ้าที่มืดสนิท ราวกับมีใครเอาผ้าดำผืนใหญ่มาคลุมไว้
"หรือว่า... ฝนกำลังจะตก?" บักโป้เงยหน้ามองหาเมฆ แต่ท้องฟ้ากลับโปร่งใส ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูท้องฟ้าด้วยความตกใจและงุนงง
"ดวงจันทร์หายไปไสวะเนี่ย?" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"บ่เคยเห็นจั่งซี้มาก่อนเลย! คืนเดือนเพ็ญแท้ๆ แต่ฟ้ามืดตึ๊บ!" แม่ใหญ่ทองคำร้องเสียงหลง
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนใจเย็นๆ แต่สีหน้าของเขาก็ดูวิตกกังวลไม่น้อย
"ทุกคนอย่าตื่นตระหนก! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมดวงจันทร์ถึงหายไป!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนและหวาดกลัว บักโป้กลับยืนมองท้องฟ้ามืดมิดด้วยความคิดที่แตกต่างออกไป
"มันบ่ได้หายไปซื่อๆ ดอก... มันต้องมีไผ๋... หรือมีหยัง... เอาดวงจันทร์ไป!" บักโป้ประกาศเสียงดัง ทำเอาชาวบ้านหันมามองหน้าเขาด้วยความงงงวย
"มึงเว้าหยังวะไอ้โป้? ไผสิเอาดวงจันทร์ไปได้?" ไอ้เถิกถามด้วยความขำขัน
"ก็ต้องมีคน... หรือสัตว์... หรืออะไรสักอย่างที่มันใหญ่มากๆ!" บักโป้ยืนกรานความคิดสุดแสนจะซื่อ (บื้อ) ของเขา
แล้วบักโป้ก็เริ่มจินตนาการถึงสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ยักษ์ ที่มีมือยาวเฟื้อย เอื้อมไปคว้าดวงจันทร์ลงมาจากฟ้า ราวกับกำลังเด็ดลูกโป่ง
ความคิดสุดเพี้ยนของบักโป้ ทำให้ชาวบ้านที่กำลังตื่นตระหนกเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง
บทที่ ๒: บักโป้ นักสืบอวกาศจำเป็น
เมื่อไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่าดวงจันทร์หายไปไหน บักโป้จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักสืบจำเป็น ออกตามหาร่องรอยของดวงจันทร์ที่หายไป
"พวกเราต้องหาเบาะแส! ต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่ๆ!" บักโป้ประกาศกร้าว พร้อมกับชวนไอ้เถิกออกไปสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน
"มึงสิไปหาเบาะแสอีหยังวะไอ้โป้? มึงสิไปถามหมาถามแมวติ๊?" ไอ้เถิกถามด้วยความเหนื่อยหน่าย
"บ่แมน! ข้อยสิไปเบิ่งว่ามีรอยเท้าแปลกๆ หรือมีของใหญ่ๆ ตกอยู่แถวนี้บ่!" บักโป้ยืนยัน
ทั้งสองเดินสำรวจรอบๆ หมู่บ้าน ส่องไฟฉายไปตามทุ่งนา ป่าละเมาะ และริมบึง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
"เห็นบ่ล่ะไอ้โป้? บ่มีหยังผิดปกติเลย! ดวงจันทร์มันอาจจะแค่... หลบไปพักผ่อนก็ได้!" ไอ้เถิกเริ่มหมดความอดทน
"บ่มีทาง! ดวงจันทร์มันต้องอยู่บนฟ้าตลอด! มันบ่มีขาคือพวกเฮา!" บักโป้เถียงกลับ
ในขณะที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น บักโป้ก็สังเกตเห็นรอยประหลาดบนพื้นดิน มันเป็นรอยกลมๆ ขนาดใหญ่ ราวกับมีอะไรกลมๆ หนักๆ มาวางทับไว้
"เบิ่งนี่! รอยหยังวะเนี่ย?" บักโป้ชี้ให้ไอ้เถิกดู
ไอ้เถิกก้มลงดูรอยนั้นด้วยความสงสัย
"มันคือรอยหยังวะ? คือจั่ง... รอยลูกบอลยักษ์?" ไอ้เถิกเกาหัวแกรกๆ
รอยกลมๆ นั้นนำทางบักโป้และไอ้เถิกไปจนถึงบริเวณทุ่งหญ้าท้ายหมู่บ้าน ที่นั่น พวกเขาก็พบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือ... หลุมขนาดใหญ่! หลุมที่มีขนาดพอๆ กับสระน้ำในหมู่บ้าน และที่ก้นหลุมนั้น... มีแสงสีขาวนวลเรืองรอง
"นั่นมัน... แสงของดวงจันทร์!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกใจ
"ดวงจันทร์... มันตกลงมาอยู่ในหลุมนี่ติ๊?" ไอ้เถิกตาโต
ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้หลุม มองลงไปข้างล่าง ก็เห็นดวงจันทร์กลมโต นอนสงบนิ่งอยู่ที่ก้นหลุม
"แต่... ทำไมดวงจันทร์มันถึงมาอยู่ในหลุมนี่ได้วะ?" บักโป้ถามด้วยความงุนงง
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงประหลาดดังมาจากในหลุม... เสียง "วี้... วู้..." คล้ายเสียงหวีดหวิวของอะไรบางอย่าง
แล้วพวกเขาก็เห็น... สิ่งมีชีวิตประหลาดตัวหนึ่ง ลอยขึ้นมาจากก้นหลุม มันมีรูปร่างคล้ายแมงกะพรุนขนาดใหญ่ แต่มีสีเขียวเรืองแสง และมีหนวดยาวเฟื้อย
"นั่นมัน... ตัวหยังวะ?" ไอ้เถิกตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันคือสิเป็นคน... หรือสัตว์... หรืออะไรสักอย่างที่เอาดวงจันทร์มาไว้ในหลุมนี่!" บักโป้ตอบด้วยความมั่นใจ (แบบผิดๆ)
บทที่ ๓: บักโป้ ปะทะ เอเลี่ยนแมงกะพรุน
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดลอยขึ้นมาจากหลุม บักโป้ก็เกิดความกล้าหาญอย่างประหลาด (หรืออาจจะเป็นความซื่อบื้อที่ทำให้ไม่กลัวอะไร)
"เฮ้ย! เจ้าเป็นไผ! เอากะจันทร์ของพวกข้อยคืนมาเดี๋ยวนี้!" บักโป้ตะโกนใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุนตัวนั้น
เอเลี่ยนแมงกะพรุนหยุดลอย มองมาที่บักโป้และไอ้เถิกด้วยดวงตากลมโตสีดำสนิท
"วี้... วู้..." เสียงประหลาดดังออกมาจากตัวมัน
"มันว่าจั่งได๋วะ?" ไอ้เถิกกระซิบถามบักโป้ด้วยความหวาดระแวง
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันคือสิ บ่เข้าใจภาษาคน" บักโป้ตอบ
บักโป้พยายามสื่อสารกับเอเลี่ยนแมงกะพรุนด้วยท่าทาง เขาชี้ไปที่ดวงจันทร์ในหลุม แล้วชี้ขึ้นไปบนฟ้า ทำท่าเหมือนกำลังยกของหนักๆ
เอเลี่ยนแมงกะพรุนมองตามท่าทางของบักโป้ด้วยความงุนงง แล้วมันก็ส่งเสียง "วี้... วู้..." อีกครั้ง พร้อมกับชี้หนวดไปที่ดวงจันทร์
"มัน... มันคือสิอยากได้ดวงจันทร์อีหลี!" บักโป้สรุปเอาเอง
ด้วยความคิดที่ว่าเอเลี่ยนแมงกะพรุนกำลังขโมยดวงจันทร์ บักโป้จึงตัดสินใจที่จะ "ทวงคืน" ดวงจันทร์ด้วยกำลัง
"บักเถิก! ซอยข้อยจับมัน!" บักโป้สั่ง
"ห๊ะ? จับตัวเขียวๆ นั่นติ๊? มึงบ้าไปแล้วติ๊ไอ้โป้! มันตัวใหญ่กว่าพวกเฮาอีก!" ไอ้เถิกปฏิเสธเสียงหลง
แต่บักโป้ไม่ฟัง เขาพุ่งเข้าใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุนอย่างไม่เกรงกลัว
"เฮ้ย! ปล่อยดวงจันทร์ของพวกข้อยเดี๋ยวนี้!" บักโป้ตะโกน พลางกระโดดคว้าหนวดของเอเลี่ยนแมงกะพรุน
เอเลี่ยนแมงกะพรุนตกใจ สะบัดหนวดไปมาอย่างแรง ทำให้บักโป้ปลิวหวือ ตกลงไปในหลุมข้างๆ ดวงจันทร์
"ไอ้โป้!" ไอ้เถิกตะโกนด้วยความตกใจ
บักโป้ลุกขึ้นมาปัดฝุ่น มองไปที่เอเลี่ยนแมงกะพรุนที่กำลังลอยวนอยู่เหนือหลุมด้วยความโกรธ
"มึงอยากสู้ติ๊! ได้เลย!" บักโป้ฮึดสู้ เตรียมจะปีนขึ้นไปต่อสู้
แต่แล้ว... เขาก็สังเกตเห็นบางอย่างที่ทำให้เขาต้องชะงัก
ที่ตัวของเอเลี่ยนแมงกะพรุน มีอุปกรณ์บางอย่างติดอยู่ มันเป็นเหมือนท่อเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับดวงจันทร์
"นั่นมัน... ท่อหยังวะ?" บักโป้พึมพำ
แล้วเขาก็เห็นว่า แสงสีขาวนวลจากดวงจันทร์ กำลังถูกดูดเข้าไปในท่อเล็กๆ นั้น
"มัน... มันกำลังสูบแสงของดวงจันทร์!" บักโป้ตาโตด้วยความเข้าใจผิดครั้งใหญ่
บทที่ ๔: ความลับของเครื่องดูดแสงจันทร์
เมื่อบักโป้คิดว่าเอเลี่ยนแมงกะพรุนกำลังสูบแสงของดวงจันทร์ เขาจึงยิ่งโมโห
"มึงกล้าดีจั่งได๋มาสูบแสงจันทร์ของพวกข้อย! ข้อยสิบ่ยอม!" บักโป้ตะโกน พร้อมกับคว้าก้อนหินข้างๆ ตัว ขว้างใส่เอเลี่ยนแมงกะพรุน
ก้อนหินถูกตัวเอเลี่ยนแมงกะพรุนดัง "ปุ๊ก!" เอเลี่ยนแมงกะพรุนส่งเสียง "วี้... วู้..." ด้วยความตกใจ แล้วมันก็รีบลอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
"หนีไปแล้ว! ข้อยไล่มันสำเร็จแล้ว!" บักโป้ร้องด้วยความดีใจ
ไอ้เถิกรีบวิ่งมาดูบักโป้ที่อยู่ในหลุม
"มึงบ่เป็นหยังใช่บ่ไอ้โป้?"
"ข้อยสบายดี! แต่ไอ้ตัวเขียวๆ นั่นมันหนีไปแล้ว! มันคงจะกลัวฝีมือข้อย!" บักโป้คุยโว
แต่เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า บักโป้ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท ดวงจันทร์ยังคงอยู่ในหลุม
"เอ... ทำไมดวงจันทร์มันยังอยู่ในหลุมวะ?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ
แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่า แสงสีขาวนวลที่ออกมาจากดวงจันทร์ มันไม่ได้ส่องสว่างเหมือนเมื่อก่อน มันดูหม่นแสงลงไปมาก
"แสงจันทร์... มันอ่อนลง!" บักโป้พึมพำ
ทันใดนั้นเอง เขาก็เข้าใจ... เอเลี่ยนแมงกะพรุนไม่ได้กำลังสูบแสงจันทร์ แต่มันกำลัง... ให้แสงจันทร์!
"บ๊ะ! ข้อยเข้าใจผิด!" บักโป้ร้องอุทาน
เขานึกถึงอุปกรณ์ที่ติดอยู่กับตัวเอเลี่ยนแมงกะพรุน มันไม่ได้ดูเหมือนเครื่องดูด แต่ดูเหมือนเครื่องฉายแสงมากกว่า
"มัน... มันคือสิเป็นคนเอาดวงจันทร์ลงมาไว้ในหลุมนี่... แล้วมันก็กำลังฉายแสงให้ดวงจันทร์!" บักโป้สรุปเอาเองอีกครั้ง (แต่ครั้งนี้ใกล้เคียงความจริงมากขึ้น)
แล้วทำไมเอเลี่ยนแมงกะพรุนถึงต้องทำแบบนั้น? บักโป้เริ่มสงสัย
ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นอย่างช้าๆ แสงสีทองของดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องลงมา
"ตะเว็นขึ้นแล้ว!" ไอ้เถิกอุทาน
เมื่อแสงอาทิตย์ส่องสว่างเต็มที่ บักโป้ก็เห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงเป็นครั้งสุดท้าย
สิ่งที่อยู่ในหลุม ไม่ใช่ดวงจันทร์จริงๆ! มันเป็นวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ สีขาวนวล ที่มีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ แต่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง
และเอเลี่ยนแมงกะพรุน... มันกำลังใช้พลังงานจากตัวมันเอง ฉายแสงไปที่วัตถุนั้น ทำให้มันดูเหมือนดวงจันทร์ในเวลากลางคืน!
"มัน... มันบ่ใช่ดวงจันทร์อีหลี!" บักโป้ร้องอุทาน
แล้วเขาก็เข้าใจทุกอย่าง... ดวงจันทร์จริงๆ อาจจะหายไปจากท้องฟ้าด้วยเหตุผลบางอย่าง และเอเลี่ยนแมงกะพรุน (หรือสิ่งมีชีวิตจากดาวอื่น) ได้สร้าง "ดวงจันทร์ปลอม" ขึ้นมา เพื่อไม่ให้โลกมืดมิด!
"มัน... มันกำลังซอยพวกเฮา!" บักโป้พึมพำด้วยความรู้สึกผิดที่ขว้างหินใส่เอเลี่ยนผู้มีน้ำใจ
เมื่อแสงอาทิตย์สว่างจ้า เอเลี่ยนแมงกะพรุนก็ค่อยๆ ลอยกลับลงไปในหลุม พร้อมกับดับแสงที่ฉายไปยัง "ดวงจันทร์ปลอม"
ท้องฟ้ากลับมาเป็นสีฟ้าสดใส ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บักโป้และไอ้เถิกมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งตกตะลึง งุนงง และรู้สึกขอบคุณอย่างประหลาด
บทที่ ๕: บทเรียนจากดวงจันทร์ที่ไม่ใช่ดวงจันทร์
หลังจากเหตุการณ์ "ดวงจันทร์หายไป" ทุกอย่างก็กลับสู่สภาวะปกติ ชาวบ้านค่อยๆ ลืมเรื่องคืนเดือนมืดประหลาดนั้นไป
แต่สำหรับบักโป้แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สำคัญ
เขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นจริง การด่วนตัดสินใจโดยไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและการกระทำที่ผิดพลาดได้
บักโป้เริ่มเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เขาพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่อยู่รอบตัว ก่อนที่จะด่วนสรุป
และถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะสร้างเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ แต่เขาก็มีความคิดที่ลึกซึ้งขึ้น
เขาเข้าใจว่า ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ อาจมีสิ่งมีชีวิตและเรื่องราวที่เราไม่เคยคาดคิดซ่อนอยู่
และทุกคืน เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า บักโป้ก็จะมองดวงจันทร์ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขาไม่ได้มองมันเป็นแค่ดวงจันทร์อีกต่อไป แต่เขามองมันด้วยความสงสัย และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า... เบื้องหลังแสงสีขาวนวลนั้น อาจมีเพื่อนต่างดาวตัวเขียวๆ กำลังทำหน้าที่อย่างเงียบๆ อยู่ก็เป็นได้!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อย่าด่วนตัดสินใจในสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน การพยายามทำความเข้าใจในทุกด้าน และการเปิดใจรับฟังความเป็นไปได้ต่างๆ จะช่วยให้เรามองโลกได้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น และบางที... ผู้ที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาด อาจเป็นผู้ที่มีน้ำใจและความเสียสละอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๙: บักโป้กับเงาในป่า
บทที่ ๑: คืนหลอน... เมื่อเงาเริ่มทักทาย
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะวังเวง (ด้วยเสียงหมาหอนยาวๆ เป็นทำนอง และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนยุงลายหนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาอบรมมารยาท) และความสามารถพิเศษในการกลัวอะไรที่ไม่น่ากลัว กำลังเดินตัวลีบอยู่ในป่าท้ายหมู่บ้านด้วยตะเกียงเจ้าพายุในมือ
"โอ๊ย! มื้อนี้คือมืดคักเติบ... คือจั่งมีผีป่ามาเป่าลมใส่หู" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางก้มหน้าก้มตามองแต่แสงตะเกียงที่สั่นคลอน
วันนี้เป็นวันที่แม่ใหญ่ทองคำวานให้บักโป้ไปเก็บผักหวานป่าที่ขึ้นอยู่ลึกเข้าไปในป่า เนื่องจากแกฝันเห็นเลขเด็ดเกี่ยวกับผักหวาน (ซึ่งบักโป้ก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกันยังไง) บักโป้จำใจต้องมาในเวลากลางคืน เพราะกลางวันอากาศมัน "ฮ้อนหลาย ขี้คร้าน"
ในขณะที่บักโป้เดินลึกเข้าไปในป่า เงาจากต้นไม้ที่ทอดผ่านแสงตะเกียงก็ดูน่ากลัวราวกับมือผีที่กำลังจะคว้าตัวเขา
"อี๋... เงาคือจั่งมือผีอีหลี... อย่ามาจับข้อยเด้อ!" บักโป้ร้องเสียงหลง พลางรีบเดินเร็วขึ้น
ทันใดนั้นเอง เงาจากต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ทาบทับอยู่บนพื้นดิน ก็ดูเหมือนจะ... ขยับได้!
มันไม่ได้ขยับตามลมพัดใบไม้ แต่มันขยับเอง ราวกับมีชีวิต!
"บ๊ะ! ข้อยตาฝาดไปแล้วติ๊นี่? เงามัน... มันเดินได้ติ๊?" บักโป้หยุดชะงัก มองเงาที่กำลังยืดยาวและหดสั้นอย่างประหลาดด้วยความหวาดกลัว
แล้วสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น... เงาที่พื้นดินนั้น... มันเริ่ม "ทักทาย" บักโป้!
มันไม่ได้ส่งเสียง แต่รูปร่างของมันบิดเบี้ยวไปมา คล้ายกับกำลังโบกมือให้บักโป้!
"กรี๊ด! ผี... ผีเงา!" บักโป้ร้องเสียงหลง วิ่งป่าราบโดยไม่คิดชีวิต ตะเกียงในมือสั่นคลอนจนแทบดับ
บักโป้วิ่งหนีเงาประหลาดไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ทิศทาง เขาวิ่งล้มลุกคลุกคลาน สะดุดรากไม้ กิ่งไม้เกี่ยวหน้าเกี่ยวตาไปหมด
"บ่ไหวแล้ว... ข้อยสิตายแล้ว!" บักโป้หอบแฮ่กๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นดิน มองไปรอบๆ ด้วยความหวาดระแวง
แต่เงาประหลาดนั้นก็ยังตามมา! มันเคลื่อนที่ตามแสงตะเกียงของบักโป้อย่างไม่ลดละ
"มันตามข้อยมาอีหลีติ๊นี่? ข้อยไปเฮ็ดหยังผิดให้มันวะ?" บักโป้คร่ำครวญ
แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่า เงาประหลาดนั้นไม่ได้ทำร้ายเขา มันแค่... เคลื่อนไหวตามเขา และทำท่าทางแปลกๆ เท่านั้น
"หรือว่า... มันบ่ใช่ผี?" บักโป้เริ่มคิด
ด้วยความกลัวที่เริ่มจางหายไปเล็กน้อย บักโป้จึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับเงาประหลาดนั้น
บทที่ ๒: การเผชิญหน้ากับเพื่อนเงา
บักโป้สูดลมหายใจลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้า แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หันหน้าเผชิญกับเงาประหลาดที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า
"เจ้า... เจ้าเป็นไผ? เจ้าต้องการหยังจากข้อย?" บักโป้ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
เงาประหลาดไม่ได้ตอบเป็นคำพูด แต่มันกลับทำท่าทางแปลกๆ อีกครั้ง คราวนี้มันทำท่าเหมือนกำลังเต้นระบำ!
"เต้นระบำ? นี่มันผีแบบใหม่ติ๊นี่?" บักโป้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
แล้วเงาประหลาดก็ทำท่าทางชี้ไปที่ตะเกียงในมือของบักโป้
"มัน... มันสิเอาตะเกียงข้อยติ๊?" บักโป้กำตะเกียงแน่น
แต่เงาประหลาดกลับทำท่าทางส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่พื้นดินข้างๆ บักโป้
บักโป้มองตามที่เงาชี้ ก็เห็น... ผักหวานป่า! มันขึ้นอยู่เต็มไปหมดบริเวณนั้น แต่ด้วยความมืดและแสงตะเกียงที่ส่องไปไม่ทั่วถึง เขาจึงมองไม่เห็น
"ผักหวาน!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
แล้วเขาก็เข้าใจ... เงาประหลาดไม่ได้เป็นผี แต่มันกำลังพยายามบอกเขาว่ามีผักหวานอยู่ตรงนี้!
"เจ้า... เจ้าอยากให้ข้อยเก็บผักหวานติ๊?" บักโป้ถามเงา
เงาประหลาดทำท่าทางเหมือนพยักหน้า!
บักโป้ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเงาจะสามารถสื่อสารได้
"แล้ว... ทำไมเจ้าถึงทำท่าทางน่ากลัวแบบนั้นล่ะ?" บักโป้ถาม
เงาประหลาดทำท่าทางเหมือนหัวเราะ (ถ้าเงาหัวเราะได้) แล้วมันก็ทำท่าทางชี้ไปที่ตัวของบักโป้เอง
บักโป้มองตัวเอง แล้วก็เข้าใจ... ที่เงาดูน่ากลัว ก็เพราะแสงตะเกียงที่ส่องกระทบกับตัวเขา ทำให้เงาของเขาเองดูบิดเบี้ยวและน่ากลัว!
"บ๊ะ! ข้อยนี่มันซื่ออีหลี! กลัวเงาตัวเอง!" บักโป้หัวเราะออกมาด้วยความขำขัน
จากนั้น บักโป้ก็เริ่มเก็บผักหวานป่าตามที่เงาประหลาด "บอก" เขา เงาจะเคลื่อนที่นำทางเขาไปยังบริเวณที่มีผักหวานขึ้นอยู่หนาแน่น
บักโป้เริ่มรู้สึกสนุกกับการ "คุย" กับเงา เขาเล่าเรื่องต่างๆ ในหมู่บ้านให้เงาฟัง (ถึงแม้ว่าเงาจะตอบกลับมาแค่การเคลื่อนไหวแปลกๆ ก็ตาม)
การเก็บผักหวานในคืนนั้นจึงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับกลายเป็นเรื่องสนุกและแปลกประหลาด
บทที่ ๓: ความลับของเงาในป่า
เมื่อบักโป้เก็บผักหวานจนเต็มตะกร้า เขาก็กล่าวขอบคุณเงาประหลาด
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ ที่ซอยข้อยหาผักหวาน"
เงาประหลาดทำท่าทางเหมือนยิ้ม (ถ้าเงายิ้มได้) แล้วมันก็ค่อยๆ เลือนหายไปกับความมืด
บักโป้เดินกลับบ้านด้วยความรู้สึกประหลาดใจและสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าเงาประหลาดนั้นคืออะไรกันแน่
เมื่อถึงบ้าน บักโป้เล่าเรื่องเงาในป่าให้แม่ใหญ่ทองคำฟัง
"หือ? เงาเว้าได้ติ๊? มึงคือสิฝันไปแล้วไอ้โป้!" แม่ใหญ่ทองคำส่ายหน้าไม่เชื่อ
บักโป้พยายามอธิบาย แต่แม่ใหญ่ทองคำก็ยังคงคิดว่าเขาตาฝาดไปเอง
วันต่อมา บักโป้ตัดสินใจกลับไปที่ป่าอีกครั้งในเวลากลางวัน เพื่อตามหาเงาประหลาดนั้น
เมื่อเขาไปถึงบริเวณที่เจอเงาเมื่อคืน เขาก็พบว่า... ไม่มีอะไรผิดปกติ! ทุกอย่างเป็นเหมือนป่าธรรมดา ต้นไม้สูงตระหง่าน แสงแดดส่องลอดใบไม้ลงมาเป็นเงาปกติ
"มันหายไปไสแล้ววะ?" บักโป้พึมพำด้วยความสงสัย
แล้วเขาก็สังเกตเห็น... โพรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่มีรูปร่างแปลกประหลาด คล้ายกับรูปร่างของเงาที่เขาเจอเมื่อคืน!
บักโป้เดินเข้าไปใกล้โพรงต้นไม้ มองเข้าไปข้างใน ก็พบกับ... ค้างคาวจำนวนมาก! พวกมันเกาะกันอยู่ภายในโพรง เมื่อแสงส่องเข้าไป ทำให้เงาของพวกมันที่ทาบทับบนพื้นดินดูบิดเบี้ยวและเคลื่อนไหวได้!
"บ๊ะ! ค้างคาวนี่เอง! ข้อยก็นึกว่าผี!" บักโป้หัวเราะออกมาด้วยความขำขันอีกครั้ง
เขานึกถึงท่าทางที่เงาทำเมื่อคืน มันไม่ได้เป็นการทักทายหรือเต้นระบำ แต่มันเป็นการเคลื่อนไหวของค้างคาวที่อยู่ในโพรงต่างหาก!
และที่เงาชี้ไปที่ผักหวาน... ก็อาจจะเป็นเพราะค้างคาวเหล่านั้นบังเอิญไปเกาะอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่มีผักหวานขึ้นอยู่หนาแน่นก็เป็นได้
บักโป้รู้สึกโล่งใจที่ความกลัวของเขาไม่ได้มาจากเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่มาจากความเข้าใจผิดของตัวเอง
บทที่ ๔: บทเรียนจากเพื่อนค้างคาว
หลังจากที่บักโป้รู้ความจริงเกี่ยวกับเงาในป่า เขาก็ไม่ได้กลัวป่าในเวลากลางคืนอีกต่อไป
เขาได้เรียนรู้ว่า ความกลัวส่วนใหญ่มักจะมาจากสิ่งที่เราไม่เข้าใจ การพยายามหาความจริงและทำความเข้าใจ จะช่วยให้เราเอาชนะความกลัวนั้นได้
บักโป้เริ่มเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เขาไม่ได้ด่วนตัดสินสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน แต่พยายามหาเหตุผลและคำอธิบายที่เป็นไปได้
และถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะหลงเชื่ออะไรง่ายๆ แต่เขาก็มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้เขากลัวมากขึ้น
บางครั้ง... ในคืนที่มืดมิด บักโป้ก็จะเดินเข้าไปในป่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินด้วยความหวาดระแวง เขามองเงาจากต้นไม้ด้วยความเข้าใจ และบางที... เขาก็อาจจะโบกมือทักทายโพรงต้นไม้ที่มีค้างคาวอยู่ข้างในด้วยความขำขัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความกลัวมักจะเกิดจากความไม่รู้ การเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้กลัว และพยายามทำความเข้าใจ จะช่วยให้เราเอาชนะความกลัวนั้นได้ และบางครั้ง... สิ่งที่ดูน่ากลัว อาจเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดที่น่าขบขันก็ได้!
เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๐: บักโป้กับประตูสู่มิติใหม่
บทที่ ๑: วันที่บักโป้เจอของแปลกใต้ต้นไผ่
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่จิกกินข้าวเปลือกหมดเล้า และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนหมาหอนประสานเสียง) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาสอนเรื่องมิติสัมพันธ์) และความสามารถพิเศษในการหาเรื่องวุ่นวายมาใส่ตัวแบบอัตโนมัติ กำลังเดินท่อมๆ อยู่ในป่าไผ่ท้ายหมู่บ้านด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! มื้อนี้บ่มีหยังเฮ็ดอีหลี... ชีวิตข้อยคือจั่งบั้งไม้ไผ่... ตรงๆ ทื่อๆ บ่มีหยังน่าตื่นเต้น" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเตะกอไผ่เบาๆ อย่างเซ็งๆ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนจากการช่วยพ่อใหญ่ทำนา (ซึ่งส่วนใหญ่บักโป้จะนั่งหลับใต้ร่มไผ่มากกว่าช่วยหว่านกล้า) บักโป้จึงตัดสินใจมาเดินเล่นในป่าไผ่ หวังจะหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ (หรืออาจจะแค่อยากหลีกหนีเสียงบ่นของแม่ก็เป็นได้อีกเช่นเคย)
ขณะที่บักโป้เดินลึกเข้าไปในป่าไผ่ เขาก็สังเกตเห็นวัตถุประหลาดเรืองแสงเล็กน้อยซ่อนอยู่ใต้กอไผ่ใหญ่ต้นหนึ่ง
"นั่นมันหยังวะ? คือจั่งมีหิ่งห้อยโตใหญ่ๆ" บักโป้ตาโตด้วยความสงสัย เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูให้ชัด
สิ่งที่อยู่ใต้กอไผ่ไม่ใช่หิ่งห้อย แต่เป็นวัตถุรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำจากวัสดุสีเงินวาววับ มีลวดลายแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นตา และมีแสงสีฟ้าอ่อนๆ ส่องออกมาจากขอบ
"บ๊ะ! นี่มัน... กล่องหยังวะเนี่ย? คือจั่งหลุดมาจากหนังวิทยาศาสตร์" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น (และคิดว่าอาจจะเป็นสมบัติที่ใครทำตกไว้) บักโป้จึงตัดสินใจเอื้อมมือไปสัมผัสวัตถุประหลาดนั้น
ทันทีที่นิ้วอ้วนๆ ของบักโป้แตะกับผิวโลหะเย็นเยียบของวัตถุ ก็เกิดแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้น!
"ว้าย!" บักโป้ร้องเสียงหลง รีบชักมือกลับ แต่ก็สายเกินไปแล้ว ร่างของเขารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในบางสิ่งบางอย่าง
ภาพรอบตัวของบักโป้หมุนคว้าง สีสันต่างๆ ผสมปนเปกันไปหมด ราวกับกำลังนั่งอยู่ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ความเร็วสูง
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ...
เมื่อบักโป้ลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในป่าไผ่ท้ายหมู่บ้านโคกอีเกิ้งอีกต่อไป!
บทที่ ๒: โลกใบใหม่... ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตร
บักโป้นั่งงงเต็กอยู่บนพื้นประหลาด ที่มีสีม่วงสดใส และมีต้นไม้รูปร่างแปลกตา สีส้มแปร๊ด ขึ้นอยู่รอบๆ อากาศที่นี่มีกลิ่นเหมือนขนมหวานผสมน้ำส้ม
"นี่มัน... ที่ไหนวะเนี่ย?" บักโป้พึมพำ มองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง
ท้องฟ้าที่นี่เป็นสีเขียวมะนาว มีดวงอาทิตย์สองดวง ดวงหนึ่งสีเหลือง อีกดวงสีชมพู กำลังส่องแสงเจิดจ้า
"ดวงอาทิตย์สองดวง! ข้อยมาอยู่ดาวอังคารติ๊นี่?" บักโป้เริ่มรู้สึกหวาดหวั่น
แล้วเขาก็เห็น... สิ่งมีชีวิตประหลาด!
มันมีรูปร่างคล้ายไก่ แต่มีสามขา มีขนสีฟ้าสดใส และมีจะงอยปากยาวเหมือนแตร กำลังเดินกระย่องกระแย่งอยู่ใกล้ๆ
"ไก่... สามขา! นี่มันโลกอิหยังวะเนี่ย?" บักโป้อุทานด้วยความตกใจ
ทันใดนั้นเอง "ไก่สามขา" ตัวนั้นก็หันมามองบักโป้ แล้วส่งเสียงร้อง...
"สวัสดีท่านผู้มาเยือน! ยินดีต้อนรับสู่ดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์!"
บักโป้อ้าปากค้างอีกครั้ง! ไม่เพียงแต่สัตว์ประหลาดเท่านั้นที่นี่ แต่พวกมันยังพูดภาษาคนได้ด้วย!
"เจ้า... เจ้าเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"แน่นอนสิ! พวกเราชาวฟลัมเบิลดอร์มีความสามารถในการสื่อสารกับทุกสรรพสิ่ง!" ไก่สามขาตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
"ฟลัมเบิลดอร์? นี่บ่ใช่โคกอีเกิ้งติ๊?" บักโป้ถามอย่างสิ้นหวัง
"โคกอีเกิ้ง? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อดาวเคราะห์นี้มาก่อน ท่านมาจากที่ใดกัน?" ไก่สามขาถามด้วยความสงสัย
บักโป้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ไก่สามขาฟัง ตั้งแต่การเดินเล่นในป่าไผ่ การเจอวัตถุประหลาด และการถูกดูดมาที่ดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์
ไก่สามขาฟังเรื่องราวของบักโป้ด้วยความสนใจ
"อ้อ! ท่านคงจะผ่านประตูมิติมาสินะ! ประตูเหล่านั้นจะเปิดออกเพียงชั่วคราว และจะนำพาผู้ที่โชคดี (หรือโชคร้าย) ไปยังมิติอื่นๆ" ไก่สามขาอธิบาย
"ประตูมิติ? แล้วข้อยสิกลับบ้านได้จั่งได๋?" บักโป้ถามด้วยความร้อนใจ
"ไม่ต้องกังวลท่านผู้มาเยือน! ที่ดาวเคราะห์ของพวกเรามีผู้เชี่ยวชาญเรื่องประตูมิติ ท่านลองตามข้ามาสิ!" ไก่สามขากล่าว พร้อมกับเดินนำบักโป้ไปยังหมู่บ้านที่ดูแปลกประหลาดกว่าสิ่งใดที่บักโป้เคยเห็นมา
บ้านเรือนที่นี่สร้างด้วยผลไม้ขนาดใหญ่ มีรถยนต์ที่บินได้ และผู้คน (หรือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคน) ต่างก็มีสีผิวที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สีม่วง สีเขียว ไปจนถึงสีส้มลายจุด
การผจญภัยในโลกมิติใหม่ของบักโป้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!
บทที่ ๓: บักโป้ในเมืองผลไม้และการพบกับผู้เชี่ยวชาญ
ไก่สามขาพาบักโป้ไปยังเมืองที่สร้างจากผลไม้ขนาดยักษ์ บักโป้เดินชมเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจ บ้านเรือนทำจากแตงโม มะม่วง และสับปะรด มีถนนที่ปูด้วยเปลือกกล้วย และมีรถยนต์ที่ทำจากลูกแพร์บินว่อนไปมา
"ว้าว! นี่มันเมืองผลไม้ชัดๆ!" บักโป้ร้องอุทาน
"ยินดีต้อนรับสู่เมืองฟรุตโตเปีย! เมืองหลวงของดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์!" ไก่สามขาประกาศด้วยความภาคภูมิใจ
ระหว่างทาง บักโป้ได้พบกับสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย บางตัวมีหกตา บางตัวมีหางเป็นหลอดไฟ และบางตัวก็ลอยได้โดยไม่ต้องมีปีก
"ที่นี่... ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรหมดเลย" บักโป้พึมพำ
ในที่สุด ไก่สามขาก็พาบักโป้มาถึงบ้านที่ทำจากทุเรียนขนาดยักษ์
"นี่คือบ้านของผู้เชี่ยวชาญเรื่องประตูมิติ ท่านชื่อศาสตราจารย์ด็อกเตอร์สตรอมเบอร์รี่!" ไก่สามขาแนะนำ
บักโป้เข้าไปในบ้านทุเรียน ก็พบกับสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหนอนตัวใหญ่ มีแว่นตาสวมอยู่บนหัว และกำลังอ่านหนังสือเล่มหนา
"สวัสดีท่านศาสตราจารย์" ไก่สามขากล่าว
"อ้อ! ท่านบลิ๊งกี้! พาใครมาด้วยล่ะ?" หนอนตัวใหญ่ (ศาสตราจารย์สตรอมเบอร์รี่) ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
บลิ๊งกี้ (ชื่อของไก่สามขา) เล่าเรื่องของบักโป้ให้ศาสตราจารย์ฟัง
ศาสตราจารย์สตรอมเบอร์รี่ฟังอย่างตั้งใจ แล้วมองมาที่บักโป้ด้วยสายตาที่ฉลาดเฉลียว
"ท่านมาจากอีกมิติหนึ่งสินะ... ประตูมิติเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ บางครั้งก็เปิดออกโดยไม่ตั้งใจ" ศาสตราจารย์กล่าว
"แล้วข้าจะกลับบ้านได้จั่งได๋ครับ?" บักโป้ถามด้วยความหวัง
"การหาประตูมิติที่นำท่านกลับไปยังมิติของท่านนั้น... อาจต้องใช้เวลา" ศาสตราจารย์ตอบ
"ต้องใช้นานปานได๋ครับ?" บักโป้ถามด้วยความกังวล
"อาจจะเป็นวัน... อาจจะเป็นเดือน... หรืออาจจะเป็นปี" ศาสตราจารย์ตอบอย่างตรงไปตรงมา
คำตอบของศาสตราจารย์ทำให้บักโป้ถึงกับหน้าเสีย
"ปีเลยติ๊! ข้อยคิดถึงส้มตำแม่ใหญ่ทองคำเด้!" บักโป้คร่ำครวญ
"ระหว่างที่รอประตูมิติเปิดออก ท่านสามารถเรียนรู้เรื่องราวของดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์ได้ พวกเรายินดีต้อนรับท่านเสมอ" ศาสตราจารย์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
บักโป้ไม่มีทางเลือกอื่น เขาจึงต้องยอมพักอยู่ที่ดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์เป็นการชั่วคราว โดยมีบลิ๊งกี้เป็นเพื่อนนำเที่ยว
ในช่วงที่บักโป้อยู่ที่ดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์ เขาได้พบกับวัฒนธรรมที่แปลกประหลาด อาหารที่ไม่คุ้นเคย และประเพณีที่น่าสนใจ
เขาได้กินสลัดดาวอังคาร (ที่ทำจากหินอ่อน) ได้ดื่มน้ำอัดลมจากเมฆ และได้เข้าร่วมเทศกาลปล่อยปลาบิน
ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูตลกและสนุกสนาน แต่บักโป้ก็ยังคงคิดถึงบ้าน คิดถึงโคกอีเกิ้ง และคิดถึงน้องไหมอยู่เสมอ
บทที่ ๔: การเดินทางกลับบ้านและการเรียนรู้ที่คาดไม่ถึง
หลังจากที่บักโป้อยู่บนดาวเคราะห์ฟลัมเบิลดอร์ได้พักใหญ่ ในที่สุดศาสตราจารย์สตรอมเบอร์รี่ก็แจ้งข่าวดี
"ท่านผู้มาเยือน! ประตูมิติที่นำท่านกลับไปยังมิติของท่านได้เปิดออกแล้ว!"
บักโป้ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น
"อีหลีติ๊ครับ! ขอบคุณท่านหลายๆ!" บักโป้กล่าวขอบคุณศาสตราจารย์ด้วยความตื้นตันใจ
บลิ๊งกี้พาบักโป้ไปยังบริเวณที่พบประตูมิติครั้งแรก ใต้กอไผ่ใหญ่
วัตถุสีเงินวาววับยังคงอยู่ที่เดิม แต่แสงสีฟ้าที่ส่องออกมานั้นสว่างกว่าเดิมมาก
"ขอให้ท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะท่านผู้มาเยือน! หวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีก!" บลิ๊งกี้กล่าวลาด้วยความเสียใจ
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ บลิ๊งกี้! เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้อยเลย!" บักโป้กล่าวลาเพื่อนต่างดาว
บักโป้ก้าวเข้าไปในแสงสีฟ้าอีกครั้ง ภาพรอบตัวหมุนคว้าง แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
บักโป้ยืนอยู่ที่ป่าไผ่ท้ายหมู่บ้านโคกอีเกิ้งอีกครั้ง แสงจันทร์ส่องสว่าง ใบไผ่ไหวตามลม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บักโป้วิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เมื่อถึงบ้าน เขาก็เล่าเรื่องการผจญภัยในมิติใหม่ให้ทุกคนฟัง
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเขา... อีกเช่นเคย
"มึงคือสิฝันประหลาดคักไอ้โป้!" ไอ้เถิกหัวเราะ
"บ่ได้ฝัน! ข้อยไปมาอีหลี! ดาวเคราะห์ที่สร้างจากผลไม้! ไก่สามขา! หนอนใส่แว่น!" บักโป้ยืนยัน
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่บักโป้รู้ดีว่าเขาได้ไปผจญภัยในโลกอีกมิติมาจริงๆ
เขาได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้มีแค่โคกอีเกิ้ง ยังมีโลกอีกมากมายที่แตกต่างและน่าอัศจรรย์
และที่สำคัญที่สุด บักโป้ได้เรียนรู้ว่า การเปิดใจให้กับสิ่งใหม่ๆ และการยอมรับความแตกต่าง จะนำมาซึ่งประสบการณ์ที่ไม่คาดคิด และมิตรภาพที่แสนพิเศษ
และทุกครั้งที่บักโป้มองไปที่ป่าไผ่ท้ายหมู่บ้าน เขาก็จะยิ้มออกมาด้วยความคิดถึงเพื่อนต่างดาวนามว่าบลิ๊งกี้ และดาวเคราะห์ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรนามว่าฟลัมเบิลดอร์
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล และยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมาย การเปิดใจให้กับประสบการณ์ใหม่ๆ และการยอมรับความแตกต่าง จะนำมาซึ่งการเรียนรู้และการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และบางที... ประตูสู่โลกใหม่ อาจจะซ่อนอยู่ใต้กอไผ่ใกล้ๆ บ้านเราก็ได้
เรื่องบักโป้กับหินพูดได้
บทที่ ๑: วันที่หินทักทายบักโป้
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะวุ่นวาย (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปอีกแล้ว และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนวัวในทุ่งตกใจ) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาติวเข้มเรื่องตรรกะ) และความสามารถพิเศษในการสร้างปัญหาให้ตัวเองแบบไม่หยุดหย่อน กำลังนั่งเซ็งเป็ดอยู่ริมทางเดินเข้าหมู่บ้าน
"โอ๊ย! มื้อนี้ข้อยสิไปขอน้องไหมแต่งงาน... แต่บ่มีของขวัญอีหยังไปให้เพิ่นเลย" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเตะก้อนหินข้างทางอย่างหงุดหงิด
บักโป้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องขอแต่งงานกับน้องไหม สาวงามประจำหมู่บ้านให้ได้ แต่เขากลับไม่มีเงินทองหรือของมีค่าอะไรที่จะนำไปสู่ขอเธอได้
"ถ้ามีเพชรเม็ดงามๆ ไปให้เพิ่น... น้องไหมต้องใจอ่อนแน่ๆ" บักโป้นึกฝันหวาน แต่ในกระเป๋ากางเกงของเขามีแค่เศษเหรียญบาทไม่กี่เหรียญ
ด้วยความท้อแท้ บักโป้จึงนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมทางระบายความทุกข์
"โอ๊ย! ชีวิตข้อยนี่มันคือจั่งก้อนหิน... หนักอึ้ง บ่มีไผ๋สนใจ" บักโป้บ่น
ทันใดนั้นเอง ก้อนหินที่บักโป้นั่งอยู่ก็ส่งเสียงตอบกลับมา!
"เอ้อ... เจ้าหนุ่ม... ข้อยกะบ่อยากหนักอึ้งปานนี้ดอก"
บักโป้สะดุ้งโหยง ลุกพรวดขึ้นยืน มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ
"เสียงหยังวะนั่น? หรือว่าข้อยหูแว่วไปแล้วเพราะอกหัก?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ
เขามองซ้ายมองขวา ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย นอกจากต้นไม้ใบหญ้าและก้อนหินที่เขานั่งอยู่เมื่อกี้
"บ่มีไผ๋... หรือว่า... ก้อนหินมันเว้า?" บักโป้ค่อยๆ ก้มลงมองก้อนหินก้อนนั้นอย่างระมัดระวัง
"เอ้อ... ข้อยนี่ล่ะ... ก้อนหินเว้าได้... มีหยังติ๊?" ก้อนหินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
บักโป้อ้าปากค้าง มองก้อนหินที่กำลัง "คุย" กับเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
"ตะ... ก้อนหิน... เว้าได้... บ้าไปแล้ว!" บักโป้พึมพำเสียงสั่น
"ข้อยบ่ได้บ้า! เจ้าต่างหากที่ซื่อบื้อ! ข้อยเว้าได้มาตั้งนานแล้ว แต่เจ้าบ่เคยฟังข้อยจักเทือ" ก้อนหินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะน้อยใจเล็กน้อย
บักโป้ค่อยๆ เอื้อมมือไปสัมผัสก้อนหินก้อนนั้น มันเย็นและแข็งเหมือนก้อนหินทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ
"เจ้า... เจ้าเว้าได้อีหลีติ๊?" บักโป้ถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
"เออ! ข้อยชื่อ 'หินฮู้' ข้อยเป็นหินวิเศษที่สามารถให้คำแนะนำและช่วยแก้ปัญหาให้ผู้ที่เดือดร้อนได้" หินฮู้กล่าวด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
บักโป้ยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สมองอันน้อยนิดของเขากำลังประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็ถามคำถามแรกออกมาด้วยความหวัง
"แล้ว... เจ้าซอยข้อยได้บ่? ข้อยอยากได้ของขวัญไปขอน้องไหมแต่งงาน"
"เรื่องแค่นี้... สบายมาก! เจ้าลองเล่าปัญหาของเจ้าให้ข้อยฟังเบิ่ง" หินฮู้กล่าว
บักโป้รีบเล่าความทุกข์ใจของเขาให้หินฮู้ฟังอย่างละเอียด
บทที่ ๒: คำแนะนำจากหินฮู้
เมื่อหินฮู้ได้รับฟังปัญหาของบักโป้ มันก็ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
"อืม... เรื่องของเจ้าก็น่าเห็นใจอยู่... แต่การหาเพชรเม็ดงามๆ ในเวลาอันสั้นคงเป็นเรื่องยาก" หินฮู้กล่าว
"แล้วข้อยสิเฮ็ดจั่งได๋ดีล่ะ?" บักโป้ถามด้วยความสิ้นหวัง
"เจ้าบ่จำเป็นต้องมีเพชรราคาแพงหรอก... สิ่งที่น้องไหมต้องการจริงๆ อาจจะไม่ใช่ของนอกกายก็ได้" หินฮู้ให้คำแนะนำ
"บ่ใช่เพชร... แล้วสิเป็นหยังล่ะ?" บักโป้สงสัย
"เจ้าลองคิดดูดีๆ... เจ้ามีอะไรที่พิเศษ ที่คนอื่นไม่มีบ้าง?" หินฮู้ถามกลับ
บักโป้ทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก (จริงๆ แล้วกำลังคิดว่ามื้อเย็นจะกินอะไรดี) ก่อนจะส่ายหน้า
"ข้อยกะคนธรรมดา... บ่มีหยังพิเศษดอก" บักโป้ตอบ
"ผิดแล้ว! เจ้ามีความจริงใจ ความซื่อสัตย์ และความรักที่แท้จริงต่อน้องไหม นั่นแหละคือสิ่งที่พิเศษที่สุดในตัวเจ้า" หินฮู้กล่าว
คำพูดของหินฮู้ทำให้บักโป้เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง
"ความจริงใจ... ความซื่อสัตย์... ความรัก..." บักโป้พึมพำ
"ใช่! สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าเพชรพลอยใดๆ ในโลก... แต่เจ้าจะแสดงสิ่งเหล่านี้ให้น้องไหมเห็นได้อย่างไร?" หินฮู้ถามต่อ
บักโป้เริ่มคิดอย่างจริงจัง เขาพยายามนึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำให้น้องไหม
"ข้อยเคยซอยเพิ่นเก็บผัก... เคยซ่อมหลังคาให้เพิ่น... เคยพาเพิ่นไปเบิ่งหนังกลางแปลง..." บักโป้เล่า
"นั่นแหละ! สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความจริงใจของเจ้า... แต่เจ้าจะใช้สิ่งเหล่านี้ในการสู่ขอได้อย่างไร?" หินฮู้ถามอีกครั้ง
บักโป้เริ่มปวดหัวกับการคิด เขานั่งลงบนหินฮู้อีกครั้งอย่างหมดหนทาง
"ข้อยบ่ฮู้... ข้อยมันซื่อโพด" บักโป้ถอนหายใจ
"เจ้าอาจจะซื่อ... แต่เจ้าก็มีความสามารถในการทำอาหารอร่อยๆ บ่แม่นติ๊?" หินฮู้ถาม
"เอ้อ! ฝีมือตำส้มตำข้อยนี่... บ่มีไผ๋เทียบได้!" บักโป้ตอบด้วยความภาคภูมิใจ
"นั่นแหละคือของขวัญสู่ขอของเจ้า!" หินฮู้ประกาศ
"ส้มตำติ๊?" บักโป้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
"ใช่! ส้มตำที่เจ้าตำด้วยใจรัก... มันจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความพิเศษของเจ้า... เจ้าแค่ต้องทำให้มันพิเศษกว่าที่เคย!" หินฮู้กล่าว
บักโป้เริ่มเข้าใจในสิ่งที่หินฮู้แนะนำ
บทที่ ๓: ส้มตำสูตรพิเศษและคำขอแต่งงาน
ด้วยคำแนะนำจากหินฮู้ บักโป้ตัดสินใจที่จะทำส้มตำสูตรพิเศษไปสู่ขอน้องไหม
เขาไปตลาดแต่เช้า เลือกซื้อวัตถุดิบที่ดีที่สุด สดที่สุด และแปลกที่สุดเท่าที่จะหาได้
"บักโป้! มึงสิเอาบักหุ่งเขียวๆ บักใหญ่ปานนี้ไปเฮ็ดหยังวะ?" ไอ้เถิกเพื่อนซี้ของบักโป้ถามด้วยความสงสัย
"มึงคอยเบิ่งก็แล้วกัน! มื้อนี้ข้อยสิตำส้มตำเขย่าโลก!" บักโป้ตอบด้วยความมั่นใจ
บักโป้บรรจงตำส้มตำอย่างพิถีพิถัน เขาใส่มะละกอดิบกรอบๆ พริกขี้หนูสวนเผ็ดๆ กระเทียมหอมๆ น้ำปลาปรุงรส น้ำตาลปี๊บหวานหอม และที่สำคัญ... เขาใส่หัวใจของเขาลงไปด้วย!
นอกจากส่วนผสมธรรมดาแล้ว บักโป้ยังใส่สิ่งพิเศษลงไปด้วยตามคำแนะนำของหินฮู้
"เจ้าลองหาผลไม้หายากในป่ามาใส่เบิ่ง... มันจะเพิ่มความพิเศษให้กับส้มตำของเจ้า" หินฮู้เคยบอกไว้
บักโป้จึงไปเก็บผลไม้ป่ารสเปรี้ยวอมหวาน ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มาหั่นใส่ในส้มตำด้วย
เมื่อส้มตำตำเสร็จ บักโป้ก็จัดใส่กระทงใบตองอย่างสวยงาม ประดับด้วยดอกไม้ป่าหลากสี
จากนั้น บักโป้ก็ถือกระทงส้มตำไปที่บ้านของน้องไหมด้วยใจที่เต้นระรัว
เมื่อน้องไหมเห็นบักโป้ถือกระทงส้มตำมา เธอก็หัวเราะออกมา
"อ้ายโป้! นี่คือของขวัญสู่ขอของอ้ายติ๊?" น้องไหมถามด้วยความขำขัน
บักโป้หน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ตอบด้วยความจริงใจ
"แม่นแล้วน้องไหม... นี่คือส้มตำสูตรพิเศษที่ข้อยตำด้วยใจ... มันอาจจะบ่มีค่าคือเพชรคือทอง... แต่ข้อยอยากให้น้องไหมฮู้ว่า... ความฮักที่ข้อยมีให้... มันพิเศษและจริงใจเสมอ"
น้องไหมมองหน้าบักโป้ด้วยความประทับใจ เธอไม่เคยคิดว่าบักโป้จะทำอะไรแบบนี้
"อ้ายโป้..." น้องไหมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
แล้วเธอก็ลองชิมส้มตำที่บักโป้ตำมา
"อื้อหือ! แซ่บหลาย! บ่เคยกินส้มตำรสชาติแบบนี้มาก่อนเลย!" น้องไหมอุทานด้วยความอร่อย
จากนั้น น้องไหมก็ยิ้มให้บักโป้อย่างอ่อนโยน
"ของขวัญของอ้าย... พิเศษที่สุดแล้ว" น้องไหมกล่าว
บักโป้ใจเต้นแรงด้วยความดีใจ
"แล้ว... น้องไหม..." บักโป้ถามด้วยความหวัง
"ข้อยตกลง" น้องไหมตอบด้วยรอยยิ้ม
บักโป้ดีใจจนแทบจะกระโดดกอดน้องไหม แต่ก็เกรงใจแม่ใหญ่ของเธอ
บทที่ ๔: บทเรียนจากหินฮู้และการเริ่มต้นใหม่
หลังจากที่บักโป้สู่ขอน้องไหมสำเร็จ เขาก็กลับไปขอบคุณหินฮู้
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ หินฮู้! คำแนะนำของเจ้าซอยข้อยไว้แท้ๆ!" บักโป้กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
"ข้อยบอกแล้ว... สิ่งที่สำคัญที่สุด บ่ได้อยู่ที่ของนอกกาย แต่อยู่ที่ใจของเจ้าต่างหาก" หินฮู้ตอบด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
"ต่อไปข้อยสิเฮ็ดจั่งได๋ดีล่ะ? ข้อยบ่มีเงินจัดงานแต่งงาน" บักโป้เริ่มกังวลอีกครั้ง
"เจ้าอย่าฟ้าวท้อแท้... ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ... ลองฟังเสียงในใจของเจ้าเบิ่ง" หินฮู้ให้คำแนะนำ
บักโป้ลองนั่งลงหลับตา พยายามฟังเสียงในใจของตัวเอง
แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ถึงความสามารถพิเศษของเขา... การทำอะไรให้วุ่นวายกว่าเดิม!
"ข้อยสิจัดงานแต่งงานแบบ... บ่มีไผ๋เคยเห็น!" บักโป้ประกาศด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
และแล้ว งานแต่งงานของบักโป้กับน้องไหมก็กลายเป็นงานที่สนุกสนานและแปลกประหลาดที่สุดในหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง
บักโป้เชิญเพื่อนพ้องน้องพี่มาร่วมงานอย่างอบอุ่น เขาจัดเตรียมอาหารพื้นบ้านรสเลิศ (แน่นอนว่ามีส้มตำสูตรพิเศษเป็นพระเอกของงาน) มีการละเล่นพื้นบ้านที่สนุกสนาน และมีการแห่ขันหมากด้วยขบวนเกวียนที่ตกแต่งอย่างสวยงาม
ถึงแม้ว่างานแต่งงานจะไม่หรูหรา แต่ก็เต็มไปด้วยความสุข ความอบอุ่น และความจริงใจ
ชาวบ้านต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีกับบักโป้และน้องไหมอย่างคับคั่ง
และในคืนนั้นเอง บักโป้ก็นั่งอยู่ข้างๆ น้องไหม มองดวงจันทร์ที่ส่องสว่างเต็มดวง ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
"ขอบคุณอ้ายหลายๆ เด้อ ที่เฮ็ดให้งานแต่งงานของเฮาพิเศษขนาดนี้" น้องไหมกระซิบข้างหูบักโป้
"ขอบคุณน้องไหมเช่นกัน... ที่ฮักคนซื่อๆ จั่งอ้าย" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
และบักโป้ก็ไม่ลืมที่จะแวะไปทักทายเพื่อนเก่าของเขา... ก้อนหินพูดได้ริมทาง
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ หินฮู้... ที่ซอยให้ชีวิตข้อยเปลี่ยนไป" บักโป้กล่าว
"ยินดีด้วยเด้อ... บักโป้... จงใช้ชีวิตด้วยความรักและความจริงใจ... แล้วเจ้าจะมีความสุขตลอดไป" หินฮู้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก แต่อยู่ที่ความจริงใจ ความรัก และความสามารถที่เรามี การรู้จักใช้สิ่งที่เรามีให้เกิดประโยชน์ และการฟังเสียงจากภายในตัวเอง จะนำพาเราไปสู่ความสุขและความสำเร็จได้ และบางที... คำแนะนำดีๆ อาจจะมาจากก้อนหินที่เรานั่งอยู่ก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๒: บักโป้กับเกาะลอยฟ้า
บทที่ ๑: วันที่บักโป้เห็นเกาะบนฟ้า
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครื้นเครง (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงวันบินหนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาภูมิศาสตร์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการมองเห็นอะไรแปลกๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น กำลังนอนเอกเขนกอยู่ใต้ต้นมะขามเทศหน้ากระท่อม มองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีครามด้วยสายตาเหม่อลอย
"โอ๊ย! มื้อนี้อากาศคือดีแท้... ถ้ามีหม่องนั่งเล่นเย็นๆ บนฟ้าคงจะดี" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเกาพุงพลุ้ยๆ อย่างสบายอารมณ์
แล้วสายตาของบักโป้ก็ไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่างที่ดูผิดปกติบนท้องฟ้า
"นั่นมัน... หยังวะ?" บักโป้ลุกพรวดขึ้นนั่ง จ้องมองไปยังจุดที่เขาเห็นสิ่งแปลกประหลาด
สิ่งที่บักโป้เห็นคือ... เกาะ! เกาะขนาดไม่ใหญ่นัก ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง! บนเกาะนั้นมีต้นไม้สีเขียวแปลกตา และมีน้ำตกสายเล็กๆ ไหลลงมา
"บ๊ะ! ข้อยตาฝาดไปแล้วติ๊นี่? เกาะมัน... มันลอยได้ติ๊?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูเกาะลอยฟ้าด้วยความตกใจและงุนงง
"นั่นมันหยังวะ? คือจั่งเกาะจริงๆ เลย!" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"บ่เคยเห็นจั่งซี้มาก่อนเลย! หรือว่าพญานาคเพิ่นแปลงกาย?" แม่ใหญ่ทองคำเสนอความเห็น (ที่เริ่มจะออกทะเลไปไกล)
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนตั้งสติ แต่สีหน้าของเขาก็ดูงงงวยไม่แพ้คนอื่นๆ
"ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมเกาะถึงลอยอยู่บนฟ้า!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก บักโป้กลับยืนมองเกาะลอยฟ้าด้วยความสงสัยใคร่รู้มากกว่าความกลัว
"มันลอยมาได้จั่งได๋วะนั่น?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางคิดถึงวิธีการเดินทางไปยังเกาะลอยฟ้านั้น
"ถ้าข้อยมีปีกคือหนู... ข้อยสิบินขึ้นไปเบิ่งเดี๋ยวนี้เลย!" บักโป้จินตนาการถึงตัวเองกำลังโบยบินขึ้นไปบนเกาะลอยฟ้าอย่างสนุกสนาน
ความคิดสุดแสนจะซื่อ (บื้อ) ของบักโป้ ทำให้ชาวบ้านที่กำลังตื่นตระหนกเริ่มมองหน้ากันเลิ่กลั่กอีกครั้ง
บทที่ ๒: การเดินทางสุดป่วนสู่เกาะลอยฟ้า
เมื่อไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเกาะลอยฟ้ามาได้อย่างไร บักโป้จึงตัดสินใจที่จะเป็นนักสำรวจจำเป็น ออกเดินทางไปยังเกาะลอยฟ้านั้นด้วยตัวเอง
"พวกเราต้องขึ้นไปเบิ่ง! ต้องมีหยังน่าสนใจอยู่บนนั้นแน่ๆ!" บักโป้ประกาศกร้าว พร้อมกับชวนไอ้เถิกออกไปหาทางขึ้นเกาะ
"มึงสิขึ้นไปจั่งได๋วะไอ้โป้? มันลอยอยู่สูงปานนั้น!" ไอ้เถิกถามด้วยความสิ้นหวัง
บักโป้ทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ปิ๊งไอเดียสุดพิสดาร
"พวกเฮาต้องสร้างบอลลูน!" บักโป้ประกาศ
"บอลลูน? เอามึงกับข้อยขึ้นไปฮอดเกาะพุ่นติ๊? มึงบ้าไปแล้วติ๊ไอ้โป้!" ไอ้เถิกอุทาน
แต่บักโป้ไม่ฟัง เขาเริ่มรวบรวมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่พอจะหาได้ในหมู่บ้าน ทั้งผ้าเก่าๆ ตะกร้าสานขนาดใหญ่ และฟางข้าวจำนวนมาก
"พวกเฮาสิตัดผ้าเก่าๆ มาเย็บเป็นถุงลมใหญ่ๆ แล้วเอาฟางข้าวมาจุดไฟให้ลมมันร้อน! แค่นี้บอลลูนของพวกเฮาก็บินได้แล้ว!" บักโป้อธิบายแผนการสุดเพี้ยนของเขาอย่างตื่นเต้น
ไอ้เถิกมองหน้าบักโป้ด้วยความระอา แต่ด้วยความที่ขี้เกียจอยู่บ้านเฉยๆ และอยากรู้ว่าบักโป้จะทำสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายเขาก็ยอมช่วยบักโป้สร้างบอลลูน
การสร้างบอลลูนของบักโป้และไอ้เถิกเป็นไปอย่างทุลักทุเลและวุ่นวาย พวกเขาเย็บผ้าเบี้ยวๆ บูดๆ ตะกร้าก็ผูกติดกันอย่างไม่มั่นคง และการจุดไฟเพื่อให้ลมร้อนก็เกือบจะทำให้กระท่อมของบักโป้ไฟไหม้
ในที่สุด บอลลูนรูปร่างประหลาดก็เสร็จสมบูรณ์ มันดูเหมือนถุงผ้าขี้ริ้วขนาดใหญ่ ที่มีตะกร้าสานห้อยอยู่ข้างใต้
"พร้อมแล้ว! ไปขึ้นเกาะลอยฟ้ากันเลย!" บักโป้ประกาศอย่างฮึกเหิม
ทั้งสองคนปีนเข้าไปในตะกร้าบอลลูน บักโป้จุดไฟใต้ถุงผ้าอย่างระมัดระวัง ลมร้อนค่อยๆ พยุงบอลลูนให้ลอยขึ้นจากพื้นดินอย่างช้าๆ
"เฮ้ย! มันขึ้นอีหลีวะ!" ไอ้เถิกอุทานด้วยความตกใจและประหลาดใจ
บอลลูนค่อยๆ ลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ พาบักโป้และไอ้เถิกมุ่งหน้าไปยังเกาะลอยฟ้าที่อยู่เหนือหมู่บ้าน
การเดินทางด้วยบอลลูนสุดเพี้ยนเป็นไปอย่างทุลักทุเล บอลลูนส่ายไปมาตามแรงลม เกือบจะตกหลายครั้ง แต่ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเกาะลอยฟ้าอย่างปลอดภัย
บทที่ ๓: สิ่งมีชีวิตประหลาดบนเกาะลอยฟ้า
เมื่อบักโป้และไอ้เถิกเหยียบลงบนพื้นเกาะลอยฟ้า พวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้สีม่วงเรืองแสง มีดอกไม้ขนาดใหญ่เท่าร่ม และมีลำธารน้ำสีชมพูไหลผ่าน
"ว้าว! นี่มันคือสวนสวรรค์ชัดๆ!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
"คือสิมีสมบัติซ่อนอยู่แถวนี้แน่ๆ!" ไอ้เถิกตาเป็นประกาย
ทั้งสองเดินสำรวจเกาะไปเรื่อยๆ พวกเขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
มีสัตว์ตัวเล็กๆ คล้ายกระรอก แต่มีปีกบินได้ มีแมลงตัวใหญ่เท่าแมว ส่งเสียงร้องเพลงแปลกๆ และมีต้นไม้ที่สามารถพูดคุยได้!
"สวัสดีท่านผู้มาเยือน! ยินดีต้อนรับสู่เกาะเอลโดรา!" ต้นไม้ต้นหนึ่งทักทายบักโป้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
"ตะ... ต้นไม้เว้าได้อีกแล้ว!" บักโป้ถึงกับเข่าอ่อน
"ไม่ต้องตกใจไปท่าน! ที่นี่ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีความพิเศษ!" ต้นไม้ตอบ
บักโป้และไอ้เถิกได้พูดคุยกับต้นไม้ ได้เล่นกับกระรอกบิน และได้ฟังเพลงจากแมลงยักษ์ พวกเขาใช้เวลาบนเกาะลอยฟ้าอย่างสนุกสนานและเพลิดเพลิน
แต่แล้ว... พวกเขาก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
พวกเขาเดินไปจนถึงบริเวณกลางเกาะ ก็พบกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายปราสาท ทำจากผลึกแก้วใส
"นั่นมัน... ปราสาทติ๊?" ไอ้เถิกถามด้วยความสงสัย
ทั้งสองค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ปราสาท และเมื่อเข้าไปข้างใน พวกเขาก็พบกับ... สิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนมนุษย์ แต่มีผิวสีทอง และมีปีกสีขาวบริสุทธิ์
"สวัสดีท่านผู้มาเยือน! พวกเราคือชาวเอลโดรา ผู้อาศัยอยู่บนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้" สิ่งมีชีวิตที่มีปีกกล่าวด้วยน้ำเสียงไพเราะ
"ชาว... เอลโดรา?" บักโป้อ้าปากค้าง
"พวกเรายินดีต้อนรับพวกท่านสู่บ้านของพวกเรา" ชาวเอลโดรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
บักโป้และไอ้เถิกได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเอลโดรา พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องราวของเกาะลอยฟ้า และได้รู้ว่าเกาะแห่งนี้ลอยอยู่บนฟ้าด้วยพลังวิเศษ
ชาวเอลโดราเป็นสิ่งมีชีวิตที่สงบสุข รักธรรมชาติ และมีความรู้ในเรื่องเวทมนตร์
บักโป้และไอ้เถิกใช้เวลาอยู่กับชาวเอลโดราหลายวัน พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย และได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของโลกอีกมิติหนึ่ง
บทที่ ๔: การกลับสู่โคกอีเกิ้งและการเปลี่ยนแปลง
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ชาวเอลโดราก็พาบักโป้และไอ้เถิกไปยังจุดที่พวกเขาขึ้นมา
"ประตูมิติจะเปิดออกอีกครั้งในคืนนี้ ขอให้พวกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ" ชาวเอลโดรากล่าวลาด้วยความเมตตา
บักโป้และไอ้เถิกกล่าวขอบคุณชาวเอลโดราสำหรับการต้อนรับและการดูแล
พวกเขาขึ้นไปในบอลลูนสุดเพี้ยนอีกครั้ง และล่องลอยกลับสู่หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอย่างปลอดภัย
เมื่อกลับถึงบ้าน ชาวบ้านต่างก็ตกใจที่เห็นบักโป้และไอ้เถิกกลับมา พวกเขาเล่าเรื่องเกาะลอยฟ้าและชาวเอลโดราให้ทุกคนฟัง
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อพวกเขา... อีกเช่นเคย
"มึงคือสิไปดูหนังผีวิทยาศาสตร์มาหลายเรื่องแล้วติ๊ไอ้โป้!" ไอ้เถิกโดนแม่ใหญ่ทองคำแซว
"บ่ได้โกหกเด้! ข้อยไปมาอีหลี! เกาะลอยฟ้า! ต้นไม้เว้าได้! คนมีปีก!" บักโป้ยืนยัน
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่บักโป้รู้ดีว่าเขาได้ไปผจญภัยในโลกที่น่าอัศจรรย์มาจริงๆ
เขาได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้มีแค่สิ่งที่เขาคุ้นเคย ยังมีสิ่งมีชีวิตและสถานที่ที่น่าทึ่งอีกมากมายที่รอให้เขาค้นพบ
บักโป้เริ่มเป็นคนเปิดใจกว้างขึ้น เขาไม่ตัดสินอะไรง่ายๆ และพร้อมที่จะเชื่อในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้
และทุกครั้งที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า บักโป้ก็จะมองหาเกาะลอยฟ้าด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง เขาอาจจะมีโอกาสได้กลับไปเยือนเอลโดราอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ การเปิดใจและกล้าที่จะออกไปสำรวจ จะนำพาเราไปพบกับประสบการณ์ที่ไม่คาดฝัน และบางที... เกาะลอยฟ้าอาจจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเราอย่างที่เราคิดก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๓: บักโป้กับสะพานสายรุ้ง
บทที่ ๑: วันที่สายรุ้งทอดลงมาถึงดิน
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครื้นเครง (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนผึ้งแตกรัง) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาฟิสิกส์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการค้นพบสิ่งประหลาดในที่ที่ไม่น่าจะมี กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมหนองน้ำท้ายหมู่บ้านด้วยใบหน้าเซ็งโลก
"โอ๊ย! มื้อนี้ปลาคือบ่กินเบ็ดข้อยจักโตวะ? หรือว่าพวกมันไปเที่ยวงานวัดกันหมด?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางมองสายฝนที่เพิ่งซาไป ทิ้งไว้เพียงอากาศสดชื่นและ... สายรุ้งพาดผ่านท้องฟ้า
สายรุ้งวันนี้สวยงามเป็นพิเศษ สีสันสดใสโค้งลงมาใกล้พื้นดิน ราวกับจะทอดลงมาถึงริมหนองน้ำที่บักโป้นั่งอยู่
"บ๊ะ! สายรุ้งคือลงมาต่ำแท้... คือจั่งสะพานเลย" บักโป้ตาโต มองสายรุ้งด้วยความประหลาดใจ
แล้วความคิดสุดแสนจะซื่อ (บื้อ) ก็แล่นเข้ามาในสมองของบักโป้
"ถ้ามันเป็นสะพานอีหลี... มันสิพาข้อยไปไสได้น้อ?" บักโป้จินตนาการถึงการเดินข้ามสะพานสายรุ้งไปยังดินแดนมหัศจรรย์
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น (และเบื่อการตกปลาที่ไม่ได้ปลา) บักโป้จึงตัดสินใจเดินตรงไปยังจุดที่สายรุ้งดูเหมือนจะทอดลงมาถึงพื้นดิน
"ถ้ามันพาข้อยไปเจอขุมทรัพย์... ข้อยสิเอาไปสู่ขอน้องไหมให้งามๆ เลย!" บักโป้ฝันหวาน
เมื่อบักโป้เดินเข้าไปใกล้บริเวณนั้น เขาก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม เพราะตรงจุดที่สายรุ้งทอดลงมานั้น... ปรากฏเป็นทางเดินเรืองแสงสีรุ้งจริงๆ! มันดูเหมือนสะพานที่สร้างจากแสงสีเจ็ดสี ทอดยาวขึ้นไปในท้องฟ้า
"บ๊ะ! สะพานสายรุ้งอีหลีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูสะพานสายรุ้งด้วยความตกใจและงุนงง
"นั่นมันหยังวะ? สายรุ้งมันกลายเป็นสะพานได้จั่งได๋?" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"บ่เคยเห็นจั่งซี้มาก่อนเลย! หรือว่าเทวดาเพิ่นลงมา?" แม่ใหญ่ทองคำเสนอความเห็น (ที่เริ่มจะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากกว่าทุกที)
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนตั้งสติ แต่สีหน้าของเขาก็ดูงงงวยไม่แพ้คนอื่นๆ
"ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมสายรุ้งถึงกลายเป็นสะพาน!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก บักโป้กลับยืนมองสะพานสายรุ้งด้วยความตื่นเต้นและอยากผจญภัย
"มันต้องพาทุกคนไปเจอโลกใหม่แน่ๆ! ข้อยสิต้องลองไปเบิ่ง!" บักโป้ประกาศอย่างฮึกเหิม
บทที่ ๒: การเดินทางสีรุ้งและการต้อนรับสุดประหลาด
เมื่อไม่มีใครกล้าเดินขึ้นสะพานสายรุ้ง บักโป้จึงตัดสินใจเป็นคนแรกที่ก้าวขึ้นไป
"ข้อยสิไปเบิ่งเอง! ถ้ามีหยังน่ากลัว ข้อยสิฟ้าววิ่งกลับมาบอก!" บักโป้กล่าวอย่างกล้าหาญ (หรืออาจจะแค่ซื่อบื้อจนไม่กลัวอะไร)
บักโป้ค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานสายรุ้ง พื้นผิวของมันนุ่มนวลและอบอุ่น ราวกับเดินอยู่บนเมฆ
"ว้าว! คือจั่งเดินอยู่บนสวรรค์อีหลี!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความสุข
เมื่อบักโป้เดินไปตามสะพานสายรุ้งเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้นไปในอากาศ ทิวทัศน์ของหมู่บ้านโคกอีเกิ้งค่อยๆ เล็กลงไปเรื่อยๆ
ในที่สุด บักโป้ก็เดินมาถึงปลายสะพานสายรุ้ง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงอีกครั้ง!
ปลายสะพานสายรุ้งไม่ได้นำไปสู่ท้องฟ้าที่ว่างเปล่า แต่มันนำไปสู่โลกใหม่!
โลกแห่งนี้มีต้นไม้สีทอง ใบไม้สีเงิน ท้องฟ้าสีม่วง และมีแม่น้ำที่ไหลด้วยน้ำสีฟ้าใส
"บ๊ะ! นี่มันโลกอิหยังวะเนี่ย? คือจั่งอยู่ในนิทาน" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
แล้วเขาก็เห็น... สิ่งมีชีวิตประหลาด!
มันมีรูปร่างคล้ายกระต่าย แต่มีหูยาวเฟื้อยสีรุ้ง มีขนสีขาวนุ่มนิ่ม และมีดวงตากลมโตสีเขียวมรกต กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ใกล้ๆ
"สวัสดีท่านผู้มาเยือน! ยินดีต้อนรับสู่โลกเรนโบว์เรีย!" กระต่ายสีรุ้งทักทายบักโป้ด้วยเสียงใสแจ๋ว
"เจ้า... เจ้าเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยความประหลาดใจ (อีกแล้ว)
"แน่นอนสิ! พวกเราชาวเรนโบว์เรียมีความสามารถในการสื่อสารกับทุกสิ่ง!" กระต่ายสีรุ้งตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
"เรนโบว์เรีย? นี่บ่ใช่โลกมนุษย์ติ๊?" บักโป้ถามอย่างงุนงง
"โลกมนุษย์? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อโลกนั้นมาก่อน ท่านมาจากที่ใดกัน?" กระต่ายสีรุ้งถามด้วยความสงสัย
บักโป้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กระต่ายสีรุ้งฟัง ตั้งแต่การตกปลา การเห็นสะพานสายรุ้ง และการเดินทางมายังโลกเรนโบว์เรีย
กระต่ายสีรุ้งฟังเรื่องราวของบักโป้ด้วยความสนใจ
"อ้อ! ท่านคงจะผ่านสะพานแห่งแสงสีมาสินะ! สะพานนั้นจะปรากฏขึ้นเพียงชั่วคราว หลังฝนตก และจะนำพาผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์มายังโลกของพวกเรา" กระต่ายสีรุ้งอธิบาย
"จิตใจบริสุทธิ์? ข้อยติ๊?" บักโป้ชี้ที่ตัวเองด้วยความไม่แน่ใจ
"แน่นอนสิ! ท่านถึงได้มาที่นี่ได้! ยินดีต้อนรับสู่บ้านของพวกเรา!" กระต่ายสีรุ้งกล่าว พร้อมกับพาบักโป้ไปยังหมู่บ้านที่ดูสวยงามราวกับอยู่ในฝัน
บ้านเรือนที่นี่สร้างด้วยดอกไม้ขนาดใหญ่ มีถนนที่ปูด้วยกลีบกุหลาบ และมีสิ่งมีชีวิตแปลกตามากมายอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
บักโป้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเรนโบว์เรีย พวกเขาแปลกใจและสนใจในเรื่องราวจากโลกมนุษย์ของบักโป้มาก
บทที่ ๓: บักโป้ในเมืองดอกไม้และการผจญภัยครั้งใหม่
กระต่ายสีรุ้ง (ชื่อของมันคือ "เรน") พาบักโป้เดินชมเมืองที่สร้างจากดอกไม้นานาชนิด บักโป้ตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่นี่
"ว้าว! นี่มันเมืองดอกไม้ชัดๆ! สวยงามกว่าสวนน้องไหมอีก!" บักโป้ร้องอุทาน
"พวกเราชาวเรนโบว์เรียรักดอกไม้มาก ดอกไม้คือชีวิตของพวกเรา" เรนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
ระหว่างทาง บักโป้ได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมากมาย มีผีเสื้อตัวใหญ่เท่าคน มีนกที่มีขนเป็นประกายเจ็ดสี และมีน้ำตกที่ไหลด้วยน้ำหอม
"ที่นี่... ทุกอย่างมันมหัศจรรย์ไปหมด!" บักโป้พึมพำ
เรนพาบักโป้ไปพบกับผู้นำของชาวเรนโบว์เรีย ซึ่งเป็นผีเสื้อตัวใหญ่ที่มีปีกสีทอง
"ยินดีต้อนรับท่านผู้มาจากโลกมนุษย์ พวกเราได้ยินเรื่องราวของท่านจากเรนแล้ว" ผู้นำกล่าวด้วยเสียงหวานใส
"ขอบคุณท่านมากครับที่ต้อนรับข้อย" บักโป้กล่าวด้วยความเคารพ
"ท่านมาที่นี่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ท่านย่อมมีเหตุผลในการมา พวกเรายินดีที่จะช่วยเหลือท่าน" ผู้นำกล่าว
บักโป้เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในโคกอีเกิ้ง ความรักที่มีต่อน้องไหม และความปรารถนาที่จะนำสิ่งดีๆ กลับไปฝากเธอ
ผู้นำฟังเรื่องราวของบักโป้ด้วยความเห็นใจ
"ท่านเป็นคนดี มีความรักที่แท้จริง พวกเราจะช่วยท่านตามหาของขวัญที่เหมาะสมสำหรับคนที่ท่านรัก" ผู้นำกล่าว
ชาวเรนโบว์เรียพาบักโป้ออกผจญภัยในโลกเรนโบว์เรีย พวกเขาได้เดินทางไปยังภูเขาสายรุ้ง ที่มีอัญมณีหลากสีซ่อนอยู่ ได้ไปเยือนทะเลแห่งความฝัน ที่มีไข่มุกแห่งความสุข และได้พบกับต้นไม้แห่งปัญญา ที่สามารถให้คำแนะนำได้
บักโป้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมายจากโลกเรนโบว์เรีย เขาได้เห็นความงามของธรรมชาติในอีกรูปแบบหนึ่ง และได้สัมผัสกับความเมตตาและความเอื้อเฟื้อของชาวเรนโบว์เรีย
บทที่ ๔: ของขวัญจากโลกสายรุ้งและการกลับสู่โลกเดิม
หลังจากที่บักโป้อยู่ในโลกเรนโบว์เรียได้พักใหญ่ เขาก็ได้พบกับของขวัญที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับน้องไหม
มันคือดอกไม้สีรุ้งที่สวยงาม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และว่ากันว่าถ้าใครได้รับดอกไม้นี้ จะมีความสุขตลอดไป
"ขอบคุณทุกท่านมากครับที่ช่วยเหลือข้อย ข้อยสิต้องกลับไปหาน้องไหมแล้ว" บักโป้กล่าวลาชาวเรนโบว์เรียด้วยความซาบซึ้ง
"ขอให้ท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ และขอให้ความสุขจงอยู่กับท่านและคนที่ท่านรัก" ผู้นำกล่าวอำลา
เรนพาบักโป้ไปยังจุดที่สะพานสายรุ้งทอดลงมา
"สะพานแห่งแสงสีจะปรากฏขึ้นอีกครั้งในยามที่สายฝนโปรยปราย ขอให้ท่านรีบกลับไปก่อนที่มันจะหายไป" เรนกล่าวเตือน
บักโป้กอดลาเรนด้วยความผูกพัน แล้วก้าวขึ้นไปบนสะพานสายรุ้งอีกครั้ง
การเดินทางกลับเป็นไปอย่างรวดเร็ว บักโป้รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับไปยังโลกเดิม
เมื่อบักโป้ก้าวลงจากสะพานสายรุ้ง เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ริมหนองน้ำท้ายหมู่บ้านโคกอีเกิ้งอีกครั้ง สายรุ้งจางหายไปแล้ว ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บักโป้วิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เมื่อถึงบ้าน เขาก็รีบนำดอกไม้สีรุ้งไปให้น้องไหม
น้องไหมตกตะลึงกับความสวยงามของดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
"อ้ายโป้... นี่มันดอกไม้อิหยังคือสวยแท้?" น้องไหมถามด้วยความประหลาดใจ
บักโป้เล่าเรื่องราวการเดินทางไปยังโลกเรนโบว์เรียให้ฟัง
แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเขา... อีกเช่นเคย
"มึงคือสิไปเก็บดอกไม้ประหลาดมาจากป่าไหนดอกไอ้โป้!" ไอ้เถิกแซว
"บ่ได้โกหกเด้! ข้อยไปมาอีหลี! โลกสายรุ้ง! กระต่ายเว้าได้! ดอกไม้แห่งความสุข!" บักโป้ยืนยัน
ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เชื่อ แต่บักโป้รู้ดีว่าเขาได้ไปผจญภัยในโลกที่น่าอัศจรรย์มาจริงๆ
และดอกไม้สีรุ้งดอกนั้น... ก็ทำให้น้องไหมมีความสุขอย่างที่เขาตั้งใจไว้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: โลกของเราอาจมีสิ่งมหัศจรรย์ซ่อนอยู่มากกว่าที่เราเคยรู้ การเปิดใจและกล้าที่จะก้าวไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย อาจนำพาเราไปพบกับโลกใหม่และประสบการณ์ที่ล้ำค่า และบางที... สะพานสู่โลกแห่งความสุข อาจจะอยู่ใกล้แค่ปลายสายรุ้งหลังฝนตกก็ได้!
: บักโป้กับนาฬิกาแห่งเวลา
บทที่ ๑: วันที่บักโป้เจอของเก่าใต้ถุนบ้าน
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกรางวัลที่หนึ่ง และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนหมาหอนรับ) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาประวัติศาสตร์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการค้นพบของเก่าแก่ที่คนอื่นมองข้าม กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ใต้ถุนบ้านด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! มื้อนี้ข้อยสิหาหม่องหลบแดด... ใต้ถุนบ้านนี่คือสิเย็นสบาย" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางปัดฝุ่นเขรอะที่เกาะอยู่ตามเสาไม้
ใต้ถุนบ้านของบักโป้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ บักโป้มักจะมานั่งเล่นตรงนี้เวลาเบื่อๆ เพราะมันเย็นสบายและเงียบสงบ
ขณะที่บักโป้กำลังจะเอนหลังพิงเสาไม้ เขาก็สังเกตเห็นกล่องไม้เก่าๆ ใบหนึ่งซุกอยู่ใต้กองผ้าเก่าๆ
"นั่นมันกล่องหยังวะ? คือจั่งบ่เคยเห็นมาก่อน" บักโป้ตาโตด้วยความสงสัย ดึงกล่องไม้ออกมาปัดฝุ่น
กล่องไม้มีลวดลายแกะสลักสวยงาม แต่เก่าจนสีซีด ภายในกล่องมีนาฬิกาเรือนหนึ่งวางอยู่
"นาฬิกาเก่าปานนี้... ยังเดินได้บ่หนอ?" บักโป้หยิบนาฬิกาขึ้นมาดู มันเป็นนาฬิกาพกสีทองเหลือง มีเข็มสั้นเข็มยาว และเข็มวินาทีเล็กๆ
บักโป้ลองหมุนเม็ดมะยมเบาๆ ทันใดนั้นเอง เข็มนาฬิกาก็เริ่มเดิน! แต่การเดินของมันแปลกประหลาด มันไม่ได้เดินไปข้างหน้า แต่มันเดินถอยหลัง!
"บ๊ะ! นาฬิกาเดินถอยหลัง! นี่มันนาฬิกาผีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกใจ รีบวางนาฬิกาลง
แต่แล้ว... แสงสีทองก็สว่างวาบออกมาจากนาฬิกา!
"ว้าย!" บักโป้ร้องเสียงหลง หลับตาปี๋ด้วยความตกใจ
เมื่อแสงหายไป บักโป้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาก็พบว่า... ใต้ถุนบ้านของเขาไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป! ข้าวของเครื่องใช้ที่เคยเก่าคร่ำครึ กลับดูใหม่เอี่ยม ราวกับเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน!
"นี่มัน... เกิดหยังขึ้นวะเนี่ย?" บักโป้อุทานด้วยความงุนงง
บทที่ ๒: การย้อนเวลาสุดป่วน
บักโป้ค่อยๆ หยิบนาฬิกาสีทองเหลืองขึ้นมาดูอีกครั้ง เขาสังเกตว่าเข็มนาฬิกายังคงเดินถอยหลังอยู่
"หรือว่า... นาฬิกาเรือนนี้มันย้อนเวลาได้?" บักโป้เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว
ด้วยความอยากลอง (และอาจจะซื่อบื้ออีกเช่นเคย) บักโป้จึงลองหมุนเม็ดมะยมของนาฬิกาอีกครั้ง แล้วตั้งใจคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่เขาทำน้ำหกใส่สำรับกับข้าวของแม่ใหญ่ทองคำ จนโดนบ่นหูชา
ทันใดนั้นเอง แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นอีกครั้ง!
เมื่อแสงหายไป บักโป้ก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ใต้ถุนบ้านอีกต่อไป แต่เขากำลังยืนอยู่ในครัวของแม่ใหญ่ทองคำ! และภาพตรงหน้าคือ... ตัวเขาเองเมื่อวาน กำลังเงอะๆ งะๆ ทำน้ำหกใส่สำรับกับข้าว!
"บ๊ะ! ข้อยย้อนเวลากลับมาอีหลีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
เหตุการณ์เมื่อวานยังคงดำเนินต่อไป บักโป้ในอดีตทำน้ำหก แม่ใหญ่ทองคำก็เริ่มบ่นเสียงดัง
"ไอ้โป้! มึงนี่มันซุ่มซ่ามคือเก่า! ทำหยังกะบ่เคยระมัดระวัง!"
บักโป้ในปัจจุบันยืนมองตัวเองในอดีตด้วยความรู้สึกผิด เขารู้สึกเสียใจที่เมื่อวานเขาไม่ได้ขอโทษแม่ใหญ่อย่างจริงจัง
เมื่อเหตุการณ์จบลง บักโป้ในปัจจุบันก็ลองหมุนเม็ดมะยมของนาฬิกาอีกครั้ง ตั้งใจคิดถึงปัจจุบัน
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง และบักโป้ก็กลับมาอยู่ใต้ถุนบ้านเหมือนเดิม
"มันย้อนเวลาได้อีหลี!" บักโป้ร้องด้วยความตื่นเต้น
จากนั้น บักโป้ก็เริ่มสนุกกับการทดลองใช้นาฬิกาแห่งเวลา เขาเริ่มย้อนเวลากลับไปแก้ไขเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเคยทำผิดพลาด เช่น กลับไปช่วยน้องไหมเก็บมะม่วงที่ตก หรือกลับไปเตือนไอ้เถิกไม่ให้ไปจีบสาวบ้านอื่นจนโดนหมาไล่
การย้อนเวลามันสนุกและน่าตื่นเต้น แต่บักโป้ก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง... การแก้ไขอดีตเพียงเล็กน้อย อาจส่งผลกระทบต่อปัจจุบันอย่างคาดไม่ถึง
บทที่ ๓: ผลกระทบของเวลาที่เปลี่ยนแปลง
บักโป้เริ่มย่ามใจกับการมีนาฬิกาแห่งเวลา เขาเริ่มย้อนเวลากลับไปทำในสิ่งที่เขาไม่กล้าทำในอดีต เช่น กลับไปกินขนมที่น้องไหมทำไว้โดยไม่ขออนุญาต หรือกลับไปแกล้งไอ้เถิกให้ตกน้ำ
แต่ผลลัพธ์ของการกระทำเหล่านั้นกลับไม่สนุกอย่างที่คิด
เมื่อบักโป้ย้อนเวลากลับไปกินขนมของน้องไหม ในปัจจุบันน้องไหมกลับไม่รู้จักเขา! ราวกับว่าการกระทำของเขาในอดีตได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งหมด
"น้องไหม... เจ้าจำข้อยบ่ได้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยความตกใจ
"ข่อยบ่รู้จักอ้าย... อ้ายเป็นไผ?" น้องไหมตอบด้วยความงุนงง
บักโป้ใจหายวูบ เขารู้สึกผิดที่เล่นกับเวลาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
จากนั้น บักโป้ก็ลองย้อนเวลากลับไปแกล้งไอ้เถิกให้ตกน้ำ ในปัจจุบันไอ้เถิกกลับกลายเป็นคนขี้โมโหและไม่ชอบหน้าเขา! ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน
"บักโป้! มึงอย่ามายุ่งกับกู! กูบ่มีเพื่อนซั่วๆ จั่งมึง!" ไอ้เถิกตะคอกใส่บักโป้
บักโป้เสียใจมาก เขารู้สึกว่าการย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่มันกลับสร้างปัญหาใหม่ๆ ที่เลวร้ายกว่าเดิม
"ข้อยเฮ็ดผิดไปแล้ว... ข้อยบ่ควรเล่นกับเวลา" บักโป้พึมพำด้วยความสำนึกผิด
บักโป้ตัดสินใจที่จะไม่ใช้นาฬิกาแห่งเวลาอีกต่อไป เขาเข้าใจแล้วว่าอดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้จากอดีตและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
แต่แล้ว... เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง!
ขณะที่บักโป้กำลังนั่งเศร้าอยู่ใต้ถุนบ้าน นาฬิกาแห่งเวลาก็หลุดมือเขา ตกลงพื้น และเข็มนาฬิกาก็หมุนติ้วๆ อย่างควบคุมไม่ได้!
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง และบักโป้ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในกระแสเวลาที่ปั่นป่วน!
บทที่ ๔: บทเรียนจากกระแสเวลาและการเริ่มต้นใหม่
บักโป้ถูกกระแสเวลาพัดพาไปยังช่วงเวลาต่างๆ อย่างควบคุมไม่ได้ เขาได้เห็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง
เขาได้เห็นบรรพบุรุษของเขาตั้งรกรากที่นี่ ได้เห็นความสุขและความทุกข์ของผู้คนในหมู่บ้าน และได้เห็นภาพอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายจากการกระทำของเขาในอดีต
บักโป้ได้เรียนรู้ว่า ทุกการกระทำของเราในวันนี้ จะส่งผลกระทบต่ออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
ในที่สุด กระแสเวลาก็เริ่มสงบลง และบักโป้ก็กลับมาอยู่ที่ใต้ถุนบ้านเหมือนเดิม นาฬิกาแห่งเวลาหยุดเดินสนิท
บักโป้มองนาฬิกาในมือด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เขาไม่ได้มองมันด้วยความอยากรู้อยากลองอีกต่อไป แต่มองมันด้วยความเคารพและความเข้าใจ
บักโป้ตัดสินใจเก็บนาฬิกาแห่งเวลาไว้ในกล่องไม้เก่าๆ เหมือนเดิม เขาจะไม่แตะต้องมันอีก
จากนั้น บักโป้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากใต้ถุนบ้านด้วยความมุ่งมั่นใหม่
เขาไปขอโทษแม่ใหญ่ทองคำอย่างจริงจัง ไปคืนดีกับไอ้เถิก และไปสารภาพรักกับน้องไหมอีกครั้ง
ด้วยความจริงใจและความตั้งใจของบักโป้ ทุกอย่างก็ค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม น้องไหมให้อภัยเขา ไอ้เถิกกลับมาเป็นเพื่อนสนิท และแม่ใหญ่ทองคำก็เอ็นดูเขาเหมือนเดิม
บักโป้ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากการผจญภัยกับนาฬิกาแห่งเวลา เขาได้รู้ว่าอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันคือสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุด และอนาคตคือผลลัพธ์ของการกระทำในวันนี้
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่รู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อดีตคือบทเรียน ปัจจุบันคือของขวัญ และอนาคตคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยการกระทำของเราในวันนี้ การเคารพเวลา และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ จะนำพาเราไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด และบางที... ของเก่าที่ดูเหมือนไม่มีค่า อาจซ่อนพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคาดคิดก็ได้!
: บักโป้กับเสียงเพลงวิเศษ
บทที่ ๑: วันที่ป่าส่งเสียงเพลง
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกรางวัลใหญ่ และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงปอต้องบินหนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาดนตรีใหม่) และความสามารถพิเศษในการได้ยินเสียงแปลกๆ ที่คนอื่นไม่ได้ยิน กำลังนั่งพักผ่อนใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! มื้อนี้บ่มีหยังเฮ็ดอีหลี... ชีวิตข้อยคือจั่งเพลงเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางดีดกีตาร์เก่าๆ ที่ขึ้นสนิมเขรอะ
บักโป้มีความฝันอยากจะเป็นนักดนตรี แต่ฝีมือการเล่นกีตาร์ของเขานั้น... เรียกได้ว่าทำเอาหมาในหมู่บ้านหอนด้วยความทรมาน
ขณะที่บักโป้กำลังดีดกีตาร์เสียงเพี้ยนๆ อยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเพลงที่ไพเราะจับใจดังแว่วมาจากในป่าท้ายหมู่บ้าน
"เสียงหยังวะนั่น? คือจั่งเสียงดนตรีสวรรค์" บักโป้หยุดดีดกีตาร์ เงี่ยหูฟังด้วยความสงสัย
เสียงเพลงนั้นหวานใส ราวกับเสียงกระดิ่งแก้ว ผสมผสานกับเสียงขลุ่ยที่แสนจะเศร้าสร้อย มันดึงดูดให้บักโป้รู้สึกสงบและผ่อนคลายอย่างประหลาด
"เสียงเพลงมาจากไสวะ? บ่เคยได้ยินมาก่อนเลย" บักโป้ลุกขึ้นยืน เดินตามเสียงเพลงเข้าไปในป่าอย่างไม่ลังเล
ยิ่งบักโป้เดินลึกเข้าไปในป่า เสียงเพลงก็ยิ่งดังชัดเจนขึ้น แต่เขาก็ยังไม่เห็นต้นตอของเสียงเพลงนั้น
"มันมาจากทางไหนกันแน่?" บักโป้พึมพำ พลางมองไปรอบๆ ต้นไม้สูงใหญ่
แล้วเขาก็เห็น... แสงเรืองรองสีทองส่องออกมาจากบริเวณลานกว้างกลางป่า
ด้วยความสงสัย บักโป้จึงเดินตรงไปยังแสงนั้น และสิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องตกตะลึง!
บทที่ ๒: ลานดนตรีแห่งความลับ
เมื่อบักโป้เดินเข้าไปในลานกว้าง เขาก็พบว่าแสงสีทองนั้นมาจากกลุ่มของสิ่งมีชีวิตประหลาด!
พวกมันมีรูปร่างคล้ายแมลงตัวใหญ่ แต่มีปีกสีรุ้ง และมีเครื่องดนตรีขนาดเล็กๆ ติดอยู่ตามตัว บางตัวกำลังดีดพิณที่ทำจากใบไม้ บางตัวกำลังเป่าขลุ่ยที่ทำจากกิ่งไม้ และบางตัวก็กำลังเคาะจังหวะด้วยเมล็ดพืช
"บ๊ะ! แมลงเล่นดนตรีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
พวกแมลงสีรุ้งหันมามองบักโป้ด้วยดวงตากลมโตสีฟ้าใส แต่พวกมันก็ไม่ได้หยุดเล่นดนตรี เสียงเพลงยังคงไพเราะจับใจ
"สวัสดีท่านผู้มาเยือน! ยินดีต้อนรับสู่ลานดนตรีแห่งความลับ!" แมลงตัวหนึ่งที่มีพิณใบไม้ทักทายบักโป้ด้วยเสียงเล็กแหลม
"เจ้า... เจ้าเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถามด้วยความประหลาดใจ (อีกแล้ว)
"แน่นอนสิ! พวกเราคือชาวเมโลดี้ พวกเราใช้ดนตรีในการสื่อสารและสร้างความสุข!" แมลงตัวนั้นตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง
"เมโลดี้? นี่บ่ใช่แมลงธรรมดาติ๊?" บักโป้ถามอย่างงุนงง
"พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและเสียงเพลง พวกเราอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแสนนาน" แมลงเมโลดี้อธิบาย
บักโป้นั่งลงฟังเพลงที่พวกแมลงเมโลดี้บรรเลงอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาไม่เคยได้ยินเพลงที่ไพเราะและมีความสุขเช่นนี้มาก่อน
"เพลงของพวกเจ้า... ม่วนคักหลาย!" บักโป้กล่าวด้วยความชื่นชม
"ขอบคุณท่าน! ดนตรีคือพลังของเรา มันสามารถเยียวยาจิตใจ สร้างความสุข และเชื่อมโยงทุกสรรพสิ่ง" แมลงเมโลดี้กล่าว
บักโป้เริ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ในเสียงเพลงนั้น เมื่อเขาฟังเพลงเศร้า เขาก็รู้สึกเหงาตาม เมื่อเขาฟังเพลงสนุกสนาน เขาก็รู้สึกอยากเต้นรำ
"แล้ว... ข้อยสิเล่นดนตรีม่วนๆ คือพวกเจ้าได้บ่?" บักโป้ถามด้วยความหวัง
"แน่นอนสิ! ดนตรีอยู่ในหัวใจของทุกคน ท่านแค่ต้องเปิดใจและปล่อยให้เสียงเพลงนำทาง" แมลงเมโลดี้กล่าว
จากนั้น พวกแมลงเมโลดี้ก็เริ่มสอนบักโป้ให้รู้จักกับดนตรี พวกมันสอนให้เขารู้จักจังหวะ ท่วงทำนอง และการใช้เครื่องดนตรีต่างๆ ที่ทำจากธรรมชาติ
บักโป้ตั้งใจเรียนรู้ด้วยความกระตือรือร้น ถึงแม้ว่าฝีมือของเขาในช่วงแรกจะยังคงเพี้ยนอยู่บ้างก็ตาม
บทที่ ๓: การเรียนรู้พลังแห่งดนตรี
บักโป้ใช้เวลาหลายวันอยู่ในลานดนตรีแห่งความลับ เรียนรู้การเล่นดนตรีจากพวกแมลงเมโลดี้ พวกมันมีความอดทนและใจดี สอนบักโป้ด้วยความรักในเสียงเพลง
บักโป้เริ่มเข้าใจว่าดนตรีไม่ได้มีแค่เสียงที่ไพเราะ แต่มันยังสามารถสื่อสารความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ได้
เขาเรียนรู้การเป่าขลุ่ยจากกิ่งไม้ การดีดพิณจากใบไม้ และการเคาะจังหวะจากเมล็ดพืช ถึงแม้ว่าเครื่องดนตรีเหล่านี้จะดูเรียบง่าย แต่เสียงที่ออกมานั้นกลับมีความไพเราะอย่างน่าประหลาด
"ท่านเริ่มมีพรสวรรค์แล้ว! ท่านสามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านเสียงเพลงได้!" แมลงเมโลดี้ชมเชยบักโป้
บักโป้รู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การได้เล่นดนตรีทำให้เขารู้สึกอิสระและเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น
แต่แล้ว... บักโป้ก็เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงน้องไหม และอยากจะนำเสียงเพลงวิเศษนี้กลับไปแบ่งปันให้กับทุกคนในหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง
"ข้อยอยากจะนำเพลงของพวกเจ้ากลับไปให้คนในหมู่บ้านข้อยฟัง พวกเขาต้องชอบแน่ๆ!" บักโป้กล่าว
"ท่านสามารถนำเสียงเพลงในหัวใจของท่านกลับไปด้วยได้ ดนตรีไม่ได้อยู่ที่เครื่องดนตรี แต่อยู่ที่ความรู้สึกที่ท่านถ่ายทอดออกมา" แมลงเมโลดี้กล่าว
"แต่ข้อยเล่นกีตาร์บ่เก่ง..." บักโป้ถอนหายใจ
"ท่านไม่ต้องกังวล! จงเล่นดนตรีด้วยความรู้สึกที่แท้จริง แล้วเสียงเพลงของท่านจะมีความไพเราะในแบบของท่านเอง" แมลงเมโลดี้ให้กำลังใจ
บักโป้เข้าใจในสิ่งที่พวกแมลงเมโลดี้บอก เขาตัดสินใจที่จะนำพลังแห่งดนตรีที่เขาได้เรียนรู้กลับไปสู่หมู่บ้านโคกอีเกิ้ง
บทที่ ๔: เสียงเพลงแห่งความสุขสู่โคกอีเกิ้ง
บักโป้กล่าวลาพวกแมลงเมโลดี้ด้วยความขอบคุณ พวกมันมอบเครื่องดนตรีเล็กๆ ที่ทำจากธรรมชาติให้บักโป้ติดตัวกลับไปด้วย
เมื่อบักโป้กลับถึงหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง เขาก็รีบนำกีตาร์เก่าๆ ของเขาออกมาปัดฝุ่น
ชาวบ้านต่างก็สงสัยที่เห็นบักโป้กลับมาพร้อมกับเครื่องดนตรีประหลาด
"ไอ้โป้! มึงไปไสมาตั้งหลายวัน? แล้วนั่นมันเครื่องดนตรีหยังวะ?" ไอ้เถิกถามด้วยความสงสัย
"ข้อยไปเรียนดนตรีมาจากป่าลึก! มื้อนี้ข้อยสิเล่นเพลงให้พวกเจ้าฟัง!" บักโป้ประกาศด้วยความมั่นใจ
ชาวบ้านต่างก็หัวเราะเยาะเย้ย เพราะรู้ฝีมือการเล่นกีตาร์ของบักโป้เป็นอย่างดี
แต่เมื่อบักโป้เริ่มบรรเลงเพลง... ทุกคนก็ต้องเงียบลงด้วยความประหลาดใจ
เพลงที่บักโป้เล่นไม่ได้มีท่วงทำนองที่ซับซ้อน แต่กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกและความสุขที่เขาได้รับจากพวกแมลงเมโลดี้
เสียงกีตาร์ที่เคยเพี้ยน กลับกลายเป็นเสียงที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา บักโป้ถ่ายทอดความรักในเสียงเพลงออกมาจากใจ
ชาวบ้านต่างก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างในเสียงเพลงนั้น บางคนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว บางคนน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้ง
น้องไหมมองบักโป้ด้วยความรักและความภาคภูมิใจ เธอไม่เคยเห็นบักโป้มีความสุขและมีพลังเช่นนี้มาก่อน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บักโป้ก็กลายเป็นนักดนตรีประจำหมู่บ้าน เขาเล่นเพลงให้ทุกคนฟังในงานบุญ งานวัด และในยามว่าง
เสียงเพลงของบักโป้ไม่ได้ไพเราะที่สุด แต่กลับเป็นเสียงเพลงที่เต็มไปด้วยความจริงใจและความสุข มันสามารถเยียวยาจิตใจ สร้างความสุข และเชื่อมโยงผู้คนในหมู่บ้านโคกอีเกิ้งเข้าด้วยกัน
บักโป้ได้เรียนรู้ว่า พลังแห่งดนตรีไม่ได้อยู่ที่ทักษะหรือเครื่องดนตรีราคาแพง แต่อยู่ที่ความรู้สึกและความรักที่เราถ่ายทอดออกมาจากใจ
และทุกครั้งที่บักโป้เล่นดนตรี เขาก็จะนึกถึงเพื่อนตัวเล็กๆ ที่มีปีกสีรุ้ง และเสียงเพลงวิเศษที่เขาได้รับจากลานดนตรีแห่งความลับในป่าลึก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: พลังแห่งดนตรีอยู่ในหัวใจของทุกคน การเปิดใจและปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง จะทำให้เราสามารถสร้างสรรค์เสียงเพลงที่งดงามและมีความหมายได้ และบางที... เสียงเพลงวิเศษอาจจะซ่อนอยู่ในป่าใกล้ๆ บ้านเรา รอให้เราค้นพบก็ได้!
: บักโป้กับหุบเขาแห่งความทรงจำ
บทที่ ๑: วันที่ความทรงจำหวนคืน
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกรางวัลใหญ่ และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาจิตวิทยาใหม่) และความสามารถพิเศษในการหลงลืมอะไรต่อมิอะไร กำลังนั่งเกาหัวแกรกๆ อยู่หน้ากระท่อมด้วยใบหน้าสับสน
"โอ๊ย! ข้อยลืมอีหยังไปวะ? คือจั่งมีหยังคาใจ" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางพยายามนึกว่าวันนี้เขามีนัดกับใคร หรือต้องทำอะไร
บักโป้มักจะมีปัญหาเรื่องความจำสั้น เขามักจะลืมของสำคัญ ลืมนัดหมาย และบางทีก็ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองกินข้าวแล้วหรือยัง
ขณะที่บักโป้กำลังพยายามเค้นสมองอยู่นั้น เขาก็เหลือบไปเห็นแผนที่เก่าๆ ที่พ่อใหญ่เคยให้ไว้ มันเป็นแผนที่ที่บอกทางไปยัง "หุบเขาแห่งความทรงจำ" สถานที่ลึกลับที่เล่าขานกันว่าสามารถทำให้ผู้ที่หลงลืมกลับมาจดจำทุกสิ่งได้
"หุบเขาแห่งความทรงจำ! นั่นอาจจะเป็นทางออกของข้อย!" บักโป้ตาโตด้วยความหวัง เขาตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปยังหุบเขาแห่งนั้นทันที
"ข้อยสิต้องไป! ข้อยสิต้องจำทุกอย่างให้ได้!" บักโป้ประกาศอย่างมุ่งมั่น
บักโป้เตรียมสัมภาระเล็กน้อย (ส่วนใหญ่เป็นอาหารและน้ำ เพราะกลัวจะหลงทางและหิว) แล้วออกเดินทางตามแผนที่เก่าๆ ที่ดูเหมือนจะขาดวิ่นไปบ้างแล้ว
การเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความทรงจำเต็มไปด้วยอุปสรรค บักโป้หลงทางในป่าหลายครั้ง สะดุดล้มคลุกคลาน และเกือบจะโดนลิงป่าแย่งขนม
แต่ด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ บักโป้ก็ยังคงเดินทางต่อไป จนในที่สุดเขาก็มาถึงปากทางเข้าหุบเขาแห่งหนึ่ง
"นี่คงจะเป็นหุบเขาแห่งความทรงจำ..." บักโป้พึมพำ มองเข้าไปในหุบเขาที่ดูเงียบสงบและลึกลับ
บทที่ ๒: เสียงสะท้อนแห่งอดีต
เมื่อบักโป้ก้าวเข้าไปในหุบเขาแห่งความทรงจำ เขาก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกประหลาด ที่นี่เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัดเบาๆ และเสียงน้ำไหลเอื่อยๆ
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ... เมื่อบักโป้เดินลึกเข้าไปในหุบเขา เขาก็เริ่มได้ยินเสียงต่างๆ แว่วเข้ามาในหู
"ไอ้โป้! มึงไปไสมาอีกแล้ว หาบ่เห็นหัว!" เสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นดังมาจากที่ไกลๆ
"น้องไหม... อ้ายโป้คือบ่มาหาข้อยเลย?" เสียงน้องไหมเศร้าๆ ดังตามมา
"บักโป้! มึงซอยกูไถนาแหน่!" เสียงพ่อใหญ่เรียก
บักโป้หยุดเดิน มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง เขาไม่เห็นใครเลย แต่เสียงเหล่านั้นกลับคุ้นเคยอย่างประหลาด
"เสียงพวกนี้... มันคือเสียงของคนในหมู่บ้านข้อย!" บักโป้พึมพำ
แล้วเสียงเหล่านั้นก็เริ่มดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่เสียงพูด แต่เป็นบทสนทนา เป็นเสียงหัวเราะ เป็นเสียงร้องไห้ ราวกับว่าอดีตกำลังหวนคืนมา
บักโป้เดินตามเสียงเหล่านั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานกว้างกลางหุบเขา ที่นั่น... เขาก็เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของเขา!
เขาเห็นตัวเองในวัยเด็ก กำลังเล่นซนกับเพื่อนๆ เห็นตัวเองในวัยหนุ่ม กำลังจีบน้องไหม เห็นตัวเองทำผิดพลาด และเห็นตัวเองได้รับความสุข
ภาพเหล่านั้นฉายวนเวียนอยู่รอบตัวบักโป้ ราวกับเขากำลังดูหนังชีวิตของตัวเอง
"นี่มัน... ความทรงจำของข้อย!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
เขายืนมองภาพเหล่านั้นอย่างไม่ละสายตา ความทรงจำที่เคยเลือนรางกลับมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาจำได้ถึงเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาเคยลืมไปแล้ว
บทที่ ๓: การเผชิญหน้ากับความลืมเลือน
ขณะที่บักโป้กำลังดื่มด่ำกับความทรงจำที่หวนคืนมา เขาก็รู้สึกถึงความมืดมิดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา
ความมืดนั้นกลืนกินภาพความทรงจำต่างๆ จนเลือนหายไปอีกครั้ง
"บ่! อย่าไป! ข้อยยังอยากจำได้!" บักโป้ร้องด้วยความตกใจ พยายามคว้าจับภาพความทรงจำเหล่านั้นไว้
แต่ความมืดนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่บักโป้จะต้านทานได้ มันค่อยๆ กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง จนในที่สุดรอบตัวของบักโป้ก็กลับมามืดมิดอีกครั้ง
"ข้อย... ข้อยลืมอีกแล้วติ๊นี่?" บักโป้ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นดินด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงกระซิบแว่วเข้ามาในหูของบักโป้
"ความทรงจำไม่ได้หายไป... มันแค่หลับใหลอยู่ภายใน"
บักโป้เงยหน้าขึ้นมองหาต้นตอของเสียง แต่เขาก็ไม่เห็นใคร
"ใคร... ใครเว้า?" บักโป้ถามด้วยเสียงสั่นเครือ
"ข้าคือเสียงสะท้อนแห่งความทรงจำ... ข้าอยู่ในหุบเขาแห่งนี้มานานแสนนาน" เสียงนั้นตอบกลับมา
"แล้ว... ทำไมข้อยถึงยังลืมทุกอย่าง?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ความลืมเลือน... มันคือส่วนหนึ่งของชีวิต... มันช่วยให้เจ้าก้าวไปข้างหน้า... แต่ความทรงจำที่แท้จริง... จะไม่หายไปไหน" เสียงนั้นอธิบาย
"แล้วข้อยจะจำทุกอย่างได้จั่งได๋?" บักโป้ถามด้วยความหวัง
"เจ้าไม่ต้องพยายามที่จะจำทุกสิ่งทุกอย่าง... แค่จดจำสิ่งที่สำคัญ... จดจำความรู้สึก... จดจำบทเรียน... ที่เจ้าได้รับจากอดีต" เสียงนั้นกล่าว
"จดจำความรู้สึก... จดจำบทเรียน..." บักโป้พึมพำตาม
"ใช่... ความทรงจำที่แท้จริง... ไม่ได้อยู่ในภาพที่เจ้าเห็น... แต่อยู่ในความรู้สึกที่เจ้าสัมผัสได้... อยู่ในบทเรียนที่เจ้าเรียนรู้" เสียงนั้นเน้นย้ำ
บักโป้เริ่มเข้าใจในสิ่งที่เสียงสะท้อนแห่งความทรงจำบอก เขาไม่ต้องพยายามที่จะจำทุกรายละเอียด แต่เขาต้องจดจำความรู้สึกและบทเรียนที่สำคัญ
บทที่ ๔: การเดินทางกลับและการจดจำด้วยหัวใจ
บักโป้ใช้เวลาอยู่ในหุบเขาแห่งความทรงจำอีกพักใหญ่ เขาไม่ได้พยายามที่จะมองเห็นภาพอดีตอีกต่อไป แต่เขานั่งเงียบๆ ฟังเสียงสะท้อน และพยายามสัมผัสถึงความรู้สึกต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น
เขานึกถึงความรักที่เขามีต่อน้องไหม ความผูกพันกับเพื่อนๆ ความอบอุ่นของครอบครัว และความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน
ความรู้สึกเหล่านั้นชัดเจนและทรงพลังกว่าภาพใดๆ ที่เขาเคยเห็น
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ... เสียงสะท้อนแห่งความทรงจำ... ข้อยเข้าใจแล้ว" บักโป้กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
"จงกลับไป... และจดจำด้วยหัวใจ" เสียงนั้นตอบกลับมา
บักโป้เดินออกจากหุบเขาแห่งความทรงจำด้วยความรู้สึกที่เบาและสงบ เขาไม่ได้กังวลเรื่องการหลงลืมอีกต่อไป เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดจะยังคงอยู่ในใจของเขาเสมอ
เมื่อบักโป้กลับถึงหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง ทุกคนก็ดีใจที่เห็นเขากลับมา
"ไอ้โป้! มึงหายไปไสมาตั้งหลายวันวะ?" ไอ้เถิกถามด้วยความเป็นห่วง
"ข้อยไป... เรียนรู้ที่จะจดจำ" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
บักโป้ไม่ได้เล่าเรื่องหุบเขาแห่งความทรงจำให้ใครฟัง เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับมานั้นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเขา
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บักโป้ก็ยังคงหลงลืมอะไรต่อมิอะไรอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเหมือนเมื่อก่อน เพราะเขารู้ว่าความทรงจำที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สมอง แต่อยู่ที่หัวใจ
เขาจดจำความรักที่เขามีต่อน้องไหม จดจำความผูกพันกับเพื่อนๆ จดจำความอบอุ่นของครอบครัว และจดจำบทเรียนต่างๆ ที่เขาได้รับจากชีวิต
และถึงแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่รู้จักคุณค่าของความทรงจำที่แท้จริง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในปัจจุบัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความทรงจำที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การจดจำทุกรายละเอียด แต่อยู่ที่การจดจำความรู้สึก บทเรียน และความผูกพันที่เรามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ รอบตัว การจดจำด้วยหัวใจจะทำให้ความทรงจำเหล่านั้นคงอยู่กับเราตลอดไป และบางที... สถานที่ที่ช่วยให้เราค้นพบความทรงจำที่แท้จริง อาจจะอยู่ไม่ไกลจากใจของเราเองก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๗: บักโป้กับหุบเขาแห่งความทรงจำ (ภาคพิเศษ: การเดินทาง)
บทที่ ๑: วันที่ความสงสัยนำทาง
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกรางวัลใหญ่ และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาปรัชญาใหม่) และความสามารถพิเศษในการสงสัยใคร่รู้ในเรื่องที่คนอื่นไม่สงสัย กำลังนั่งใต้ต้นจามจุรีหน้ากระท่อมด้วยใบหน้าครุ่นคิด
"โอ๊ย! ข้อยสงสัยคักหลาย... เรื่องหุบเขาแห่งความทรงจำที่พ่อใหญ่เล่าให้ฟัง" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางแกะเปลือกจามจุรีเล่น
พ่อใหญ่มักจะเล่านิทานให้หลานๆ ฟังก่อนนอน และเรื่องที่บักโป้สนใจเป็นพิเศษคือเรื่องของ "หุบเขาแห่งความทรงจำ" สถานที่ลึกลับที่ว่ากันว่าเก็บรักษาความทรงจำของผู้คนเอาไว้ ใครที่เข้าไปในหุบเขานั้น จะสามารถหวนรำลึกถึงอดีตได้อย่างแจ่มชัด
"มันสิเป็นจั่งได๋น้อ? หุบเขาที่เก็บความทรงจำ... คือจั่งห้องเก็บของเก่าติ๊?" บักโป้จินตนาการถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วยกล่องความทรงจำวางซ้อนกัน
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ บักโป้ตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความทรงจำด้วยตัวเอง เขาอยากจะรู้ว่าเรื่องเล่าของพ่อใหญ่นั้นเป็นจริงหรือไม่ และถ้าเป็นจริง เขาอยากจะเข้าไปดูความทรงจำของตัวเอง
"ข้อยสิต้องไปพิสูจน์! ข้อยสิต้องเห็นกับตา!" บักโป้ประกาศอย่างมุ่งมั่น
บักโป้เตรียมเสบียงง่ายๆ (ข้าวเหนียวหมูปิ้ง น้ำเปล่า) และแผนที่วาดเองคร่าวๆ (อิงจากคำบอกเล่าของพ่อใหญ่) แล้วออกเดินทางไปยังทิศที่พ่อใหญ่เคยชี้ไว้
บทที่ ๒: เส้นทางคดเคี้ยวและการพบเพื่อนร่วมทาง
การเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความทรงจำไม่ได้ง่ายอย่างที่บักโป้คิดไว้ เส้นทางวกวนผ่านป่ารกทึบ ข้ามลำธารเล็กๆ และปีนป่ายเนินเขาหลายลูก บักโป้หลงทางไปบ้าง แต่ด้วยความมุ่งมั่น เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
"โอ๊ย! หุบเขาความทรงจำนี่คือสิอยู่ไกลคักเติบ" บักโป้บ่นพลางเช็ดเหงื่อ
ขณะที่บักโป้กำลังนั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้แว่วมา
"ฮือๆๆ... ข้อยหลงทาง..."
บักโป้ลุกขึ้นเดินตามเสียงไป ก็พบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารัก กำลังนั่งร้องไห้อยู่ริมทาง
"น้องเป็นหยังคือไห้ล่ะ?" บักโป้ถามด้วยความเป็นห่วง
"ข้อย... ข้อยพลัดหลงกับพ่อแม่... ข้อยสิกลับบ้านจั่งได๋?" เด็กหญิงสะอื้น
"บ่ต้องย่านเด้อ... เดี๋ยวอ้ายซอยพาเจ้ากลับบ้าน... เจ้าชื่อหยังล่ะ?" บักโป้ปลอบ
"ข้อยชื่อ 'น้องจำดี'" เด็กหญิงตอบทั้งน้ำตา
"น้องจำดี... ชื่อคือจั่งหุบเขาที่อ้ายกำลังสิไปเลย" บักโป้พึมพำ
บักโป้ตัดสินใจที่จะช่วยน้องจำดีตามหาพ่อแม่ก่อนที่จะเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความทรงจำ ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน บักโป้เล่านิทานตลกๆ ให้น้องจำดีฟังเพื่อคลายความเศร้า
ในที่สุด พวกเขาก็พบกับพ่อแม่ของน้องจำดีที่กำลังตามหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง พ่อแม่ของน้องจำดีขอบคุณบักโป้อย่างมาก
"ขอบคุณอ้ายหลายๆ เด้อ ที่ซอยเหลือน้องจำดี" พ่อของน้องจำดีกล่าว
"บ่เป็นหยังดอกครับ... ยินดีซอย" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากส่งน้องจำดีกลับบ้านแล้ว บักโป้ก็ออกเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความทรงจำต่อ โดยมีรอยยิ้มและความรู้สึกดีๆ ติดตัวไปด้วย
บทที่ ๓: ปากทางสู่ความทรงจำ
บักโป้เดินทางต่อไปอีกหลายชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็มาถึงบริเวณที่ดูเหมือนจะเป็นปากทางเข้าหุบเขาแห่งความทรงจำ
บริเวณนั้นเงียบสงบ มีต้นไม้แปลกตาขึ้นอยู่สองข้างทาง และมีป้ายไม้เก่าๆ เขียนด้วยตัวอักษรโบราณที่บักโป้อ่านไม่ออก
"นี่คงจะเป็นทางเข้าแล้ว..." บักโป้พึมพำ มองเข้าไปในหุบเขาที่ดูมืดมิดและลึกลับ
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงแว่วมาในหูของบักโป้
"ผู้ที่มีความปรารถนาอันแรงกล้า... และจิตใจที่เปิดกว้าง... จึงจะสามารถก้าวเข้าสู่หุบเขาแห่งความทรงจำได้"
บักโป้มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
"ใคร... ใครเว้า?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ข้าคือผู้เฝ้าประตูแห่งความทรงจำ... เจ้าปรารถนาสิ่งใดจากหุบเขาแห่งนี้?" เสียงนั้นตอบกลับมา
"ข้อย... ข้อยแค่อยากรู้ว่าความทรงจำของผู้คนเป็นจั่งได๋... และอยากจะระลึกถึงความทรงจำของตัวเองให้ชัดเจน" บักโป้ตอบด้วยความจริงใจ
"จงก้าวเข้ามา... แต่จงจำไว้ว่า... ความทรงจำนั้นมีทั้งสุขและทุกข์... เจ้าต้องพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง" ผู้เฝ้าประตูกล่าว
บักโป้สูดลมหายใจลึกๆ แล้วก้าวเข้าไปในหุบเขาแห่งความทรงจำด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหลาดใจ
บทที่ ๔: บักโป้ในดินแดนแห่งความทรงจำ
เมื่อบักโป้ก้าวเข้าไปในหุบเขา เขาก็พบกับภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ รอบตัวของเขามีภาพเหตุการณ์ต่างๆ ลอยวนอยู่มากมาย ราวกับเขากำลังอยู่ในห้องฉายหนังขนาดใหญ่
ภาพเหล่านั้นไม่ใช่แค่ภาพของเขา แต่เป็นภาพของผู้คนมากมาย ทั้งคนที่เขารู้จักและคนที่ไม่รู้จัก ทุกคนกำลังใช้ชีวิต ทำกิจกรรมต่างๆ แสดงความรู้สึกต่างๆ
"ว้าว! นี่คือความทรงจำของผู้คนอีหลีติ๊นี่?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เขาสามารถเลือกดูภาพความทรงจำต่างๆ ได้ตามใจชอบ เพียงแค่เอื้อมมือไปสัมผัส ภาพนั้นก็จะขยายใหญ่ขึ้นและมีเสียงประกอบ
บักโป้ได้เห็นความทรงจำในวัยเด็กของพ่อใหญ่ ได้เห็นความรักครั้งแรกของแม่ใหญ่ทองคำ ได้เห็นความฝันของน้องไหม และได้เห็นความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คนในหมู่บ้าน
เขารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในอดีตของคนเหล่านั้น ได้ร่วมหัวเราะและร้องไห้ไปกับพวกเขา
บักโป้ยังได้พบกับภาพความทรงจำของตัวเอง เขาได้เห็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข ความเศร้า ความสำเร็จ และความผิดพลาด ทุกความทรงจำกลับมาชัดเจน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
"ข้อยจำได้แล้ว! ข้อยจำได้ทุกอย่าง!" บักโป้ร้องด้วยความดีใจ
แต่ในขณะที่บักโป้กำลังเพลิดเพลินกับความทรงจำเหล่านั้น เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งของความทรงจำบางอย่าง ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความเสียใจ และความผิดพลาด
บักโป้เริ่มเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงหลงลืมบางสิ่งบางอย่างไป ความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นยากที่จะเก็บไว้ในใจ
บทที่ ๕: บทเรียนจากหุบเขาและการกลับสู่ปัจจุบัน
บักโป้ยืนมองความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเสียใจและเข้าใจ เขาได้เรียนรู้ว่าทุกคนต่างก็มีอดีตที่ทั้งสวยงามและขมขื่น
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ... หุบเขาแห่งความทรงจำ... ที่ทำให้ข้อยเข้าใจทุกสิ่ง" บักโป้พึมพำ
บักโป้ใช้เวลาอยู่ในหุบเขาอีกพักใหญ่ เขาไม่ได้พยายามที่จะเก็บกักความทรงจำทั้งหมดไว้ แต่เขาเลือกที่จะจดจำสิ่งที่สำคัญ จดจำความรู้สึก และจดจำบทเรียนที่ได้รับจากอดีต
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม บักโป้ก็กล่าวลาผู้เฝ้าประตูแห่งความทรงจำ และเดินทางกลับสู่หมู่บ้านโคกอีเกิ้ง
การเดินทางกลับเต็มไปด้วยความสงบในใจ บักโป้ไม่ได้รู้สึกสับสนหรือหลงลืมเหมือนเมื่อก่อน เพราะเขารู้ว่าความทรงจำที่แท้จริงนั้นอยู่ในใจของเขาแล้ว
เมื่อบักโป้กลับถึงบ้าน เขาก็เล่าเรื่องหุบเขาแห่งความทรงจำให้พ่อใหญ่ฟัง
พ่อใหญ่ยิ้มด้วยความเข้าใจ
"เจ้าได้ไปเห็นสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วสินะ... บักโป้"
"ครับพ่อใหญ่... ข้อยเข้าใจแล้วว่าความทรงจำนั้นมีค่า... แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บักโป้ก็ยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่รู้จักคุณค่าของอดีต และใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างมีความสุข
และทุกครั้งที่บักโป้รู้สึกสับสนหรือหลงลืม เขาก็จะหลับตาลง และนึกถึงความรู้สึกที่เขาได้รับจากหุบเขาแห่งความทรงจำ... ความรู้สึกที่ทำให้เขารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ในใจของเขาเสมอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: อดีตคือส่วนหนึ่งของชีวิต เราไม่สามารถลบเลือนมันได้ แต่เราสามารถเรียนรู้และเติบโตจากมันได้ การจดจำความรู้สึกและบทเรียนจากอดีต มีค่ามากกว่าการจดจำทุกรายละเอียด และบางที... สถานที่ที่เก็บรักษาความทรงจำที่แท้จริง อาจจะอยู่ในใจของเราเองก็ได้!
บักโป้กับภูเขาเคลื่อนที่ (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่ภูเขา... ย่อง!
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะอลเวง (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนมดหนี) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาธรณีวิทยาใหม่) และความสามารถพิเศษในการสังเกตสิ่งผิดปกติแบบงงๆ กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่หน้ากระท่อมด้วยใบหน้าเซ็งเป็ด
"โอ๊ย! มื้อนี้คือบ่มีหยังเฮ็ด... ชีวิตข้อยคือจั่งภูเขาอีเกิ้ง... ตั้งอยู่ซื่อๆ บ่มีหยังเปลี่ยนแปลง" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเงยหน้ามองภูเขาอีเกิ้งลูกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท้ายหมู่บ้านอย่างเคยชิน
ภูเขาอีเกิ้งเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้าน ตั้งแต่เกิดมาบักโป้ก็เห็นมันอยู่ตรงนั้น ไม่เคยมีใครคิดว่ามันจะขยับเขยื้อนไปไหนได้
แต่แล้ว... วันนี้มันไม่เหมือนเดิม!
ในขณะที่บักโป้กำลังจะเผลอหลับคางานไม้ไผ่ เขาก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ที่พื้นดิน ราวกับมีใครกำลังย่องเข้ามาใกล้ๆ
"แผ่นดินไหวติ๊นี่?" บักโป้ลืมตาโพลง มองไปรอบๆ ด้วยความตกใจ แต่แรงสั่นสะเทือนนั้นค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ช้าๆ มากๆ
ทันใดนั้นเอง บักโป้ก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อเขาสังเกตเห็นว่า... ภูเขาอีเกิ้งลูกใหญ่ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ท้ายหมู่บ้านนั้น... กำลังเคลื่อนที่!
มันเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ชนิดที่ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตก็แทบไม่รู้ แต่ถ้ามองเทียบกับกระท่อมหลังอื่น มันกำลัง "ย่อง" ไปทางทิศตะวันออกอย่างแน่นอน!
"บ๊ะ! ข้อยตาฝาดไปแล้วติ๊นี่? ภูเขามัน... มันย่องได้ติ๊?" บักโป้ร้องอุทานเสียงหลง รีบลุกขึ้นยืนจ้องมองภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่อย่างไม่เชื่อสายตา
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูเหตุการณ์ประหลาดนี้ด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
"ภูเขา... ภูเขามันเดิน... เอ้ย! มันย่องอีหลี!" แม่ใหญ่ทองคำร้องเสียงหลง มือสั่นเทา
"เกิดหยังขึ้นวะเนี่ย? ภูเขาเป็นตะคริวติ๊?" ไอ้เถิกหน้าซีดเผือด
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนตั้งสติ แต่สีหน้าของเขาก็ดูงงงวยไม่น้อย
"ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมภูเขาถึง... ย่อง!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่คำสุดท้ายก็ออกมาอย่างไม่มั่นใจ
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก บักโป้กลับยืนมองภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความสงสัยใคร่รู้มากกว่าความกลัว
"มันสิไปไสน้อ? ย่องๆ คือจั่งคนขโมยของ" บักโป้พึมพำกับตัวเอง
บทที่ ๒: บักโป้ นักสืบเท้าภูเขา
เมื่อความตกใจเริ่มจางหาย ผู้ใหญ่บ้านเรียกประชุมชาวบ้านเพื่อหาสาเหตุของการ "ย่อง" ของภูเขาอีเกิ้ง
"ใครพอจะรู้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมภูเขาถึง... ย่องได้?" ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ชาวบ้านต่างก็ส่ายหน้า ไม่มีใครให้คำตอบได้
"หรือว่า... มีตัวอะไรใหญ่ๆ มาดันตูดภูเขา?" แม่ใหญ่ทองคำเสนอความเห็น (ที่ฟังดูเหมือนนิทานอีสปมากกว่าวิทยาศาสตร์)
"บ่แม่นดันดอกแม่ใหญ่... มันคือจั่งมันอยากไปเอง" บักโป้กล่าวด้วยท่าทางครุ่นคิด
"แล้วมึงสิฮู้อิหยังวะไอ้โป้? มึงมันกะแค่คนซื่อบื้อที่เห็นภูเขาย่อง" ไอ้เถิกแซว
"ถึงข้อยสิซื่อ... แต่ข้อยกะมีความสงสัย! ภูเขามันบ่ได้ลุกขึ้นย่องเองดอก! มันต้องมีหยังอยู่ข้างใต้มัน... หรือบ่กะมีไผ๋สั่งมัน!" บักโป้ยืนกราน
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ บักโป้จึงตัดสินใจออกสำรวจรอบๆ ภูเขาอีเกิ้งด้วยตัวเอง เขาเดินวนรอบภูเขา พยายามสังเกตหาร่องรอยที่ผิดปกติ
"ดินตรงนี้มันคือจั่งถูกไถมาหมาดๆ แต่บ่มีไผ๋มาไถ" บักโป้พึมพำ พลางลูบดินที่ยังชื้นๆ บริเวณเชิงเขา
เขาสังเกตเห็นรอยครูดขนาดใหญ่บนพื้นดิน ราวกับมีอะไรบางอย่างที่มีขนาดใหญ่มากเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างช้าๆ
"รอยนี่... มันต้องเป็นรอยเท้าของหยังที่ใหญ่มากๆ แน่ๆ... หรือว่า... ตีนภูเขา?" บักโป้ตาโต
บักโป้เดินตามรอยครูดนั้นไปเรื่อยๆ รอยนั้นนำเขาไปจนถึงด้านหลังของภูเขา ซึ่งเป็นด้านที่ชาวบ้านไม่ค่อยได้เข้าไป
และแล้ว... บักโป้ก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง!
สิ่งที่อยู่ด้านหลังของภูเขาอีเกิ้งไม่ใช่พื้นดินธรรมดา แต่เป็น... เท้าขนาดมหึมา! เท้าที่มีผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม มีรอยย่นยับยู่ยี่ และมีเล็บเท้าที่ใหญ่ราวกับกระท่อม (อีกแล้ว)!
"บ๊ะ! นี่มัน... ตีนของหยังวะเนี่ย? คือจั่งตีนไดโนเสาร์... แต่ใหญ่กว่า!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตกตะลึง
เขามองตามเท้าขนาดมหึมานั้นขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นส่วนลำตัว... มันเป็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเต่า (อีกแล้ว!) แต่มีขนาดใหญ่กว่าภูเขาเสียอีก!
"เต่า... เต่าที่ใหญ่ปานภูเขา... กำลังย่อง!" บักโป้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สัตว์ประหลาดเต่ายักษ์กำลังเดินอย่างช้าๆ โดยมีภูเขาอีเกิ้งอยู่บนกระดองของมัน!
"แสดงว่า... ภูเขาอีเกิ้ง... บ่ได้เป็นภูเขาอีหลี! มันคือ... กระดองเต่าที่กำลังย่องหนี!" บักโป้ถึงกับร้องเสียงหลง
เขารีบวิ่งกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อบอกสิ่งที่เขาค้นพบ
บทที่ ๓: ความไม่แน่นอนของเต่าผู้ยิ่งใหญ่
เมื่อบักโป้เล่าเรื่องเต่ายักษ์ที่แบกภูเขา "ย่องหนี" ให้ชาวบ้านฟัง ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย (อีกแล้ว!)
"ไอ้โป้เอ้ย! มึงคือสิเพี้ยนไปหลาย! เต่าที่ไหนมันจะใหญ่ปานภูเขา แถมยังย่องได้คือคน!" ไอ้เถิกหัวเราะจนน้ำตาไหล
"ข้อยเว้าความจริงเด้! ข้อยเห็นกับตา! มันกำลังย่องไปทางหนองน้ำ!" บักโป้ยืนกราน
แต่ไม่มีใครเชื่อเขา จนกระทั่งบักโป้พาผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งไปดูร่องรอยและเท้าขนาดมหึมาของเต่ายักษ์ที่เขาเจอ
เมื่อชาวบ้านได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึงและเชื่อในสิ่งที่บักโป้พูดในที่สุด
"แล้ว... ทำไมเต่ายักษ์ถึงย่องล่ะ?" ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความสงสัย
"ข้อยกะบ่ฮู้... แต่มันกำลังมุ่งหน้าไปทางหนองน้ำใหญ่ท้ายหมู่บ้าน... คือจั่งมันหิวน้ำอีหลี" บักโป้ตอบ
ชาวบ้านพากันไปดูเต่ายักษ์ที่กำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปยังหนองน้ำใหญ่ เมื่อเต่ายักษ์มาถึงหนองน้ำ มันก็ค่อยๆ หย่อนตัวลงแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์
"มัน... มันคงจะฮ้อนอีหลี" บักโป้พึมพำ
แล้วพวกเขาก็สังเกตเห็นว่า บนกระดองของเต่ายักษ์ (ซึ่งก็คือภูเขาอีเกิ้ง) มีพืชพรรณและสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย ราวกับเป็นระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้
"แสดงว่า... ภูเขาอีเกิ้ง... เป็นบ้านของสัตว์พวกนี้... แล้วเต่าก็พาบ้านของมันไปอาบน้ำ" หญิงชราคนหนึ่งกล่าวด้วยความเข้าใจ
"แล้วทำไมมันต้องย่อง? ทำไมไม่เดินธรรมดา?" ผู้ใหญ่บ้านยังคงสงสัย
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงร้องไห้ดังมาจากบนภูเขาอีเกิ้ง
"ช่วยด้วย! ช่วยพวกเราด้วย! บ้านข้อยกำลังสิพัง!"
บักโป้และชาวบ้านมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขารีบปีนขึ้นไปบนภูเขาอีเกิ้งเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อขึ้นไปถึง พวกเขาก็พบกับฝูงกระรอกจำนวนมาก กำลังวิ่งวุ่นวาย เพราะดินบนภูเขากำลังทรุดตัวลง
"ดินมันสไลด์!" บักโป้ร้องอุทาน
"ถ้าเต่ายักษ์เดินเร็ว สัตว์พวกนี้คงจะตกจากภูเขาหมดแน่ๆ!" ผู้ใหญ่บ้านตระหนักได้
"แสดงว่า... ที่มันย่อง... ก็เพราะมันอยากจะปกป้องสัตว์ที่อยู่บนหลังมัน!" บักโป้ตาโตด้วยความเข้าใจ
บทที่ ๔: บทเรียนแห่งความไม่แน่นอนและการยอมรับ
หลังจากเหตุการณ์ดินสไลด์บนภูเขาอีเกิ้ง ชาวบ้านก็เข้าใจถึงเหตุผลที่ภูเขาเคลื่อนที่อย่างช้าๆ
เต่ายักษ์ไม่ได้เคลื่อนที่เพราะหิวน้ำอย่างเดียว แต่เคลื่อนที่ด้วยความระมัดระวัง เพื่อรักษาสมดุลและปกป้องชีวิตน้อยๆ ที่อาศัยอยู่บนกระดองของมัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านโคกอีเกิ้งตระหนักถึงความไม่แน่นอนของธรรมชาติ และความจำเป็นในการยอมรับการเปลี่ยนแปลง
พวกเขาเคยคิดว่าภูเขาอีเกิ้งจะตั้งอยู่ตรงนั้นตลอดไป แต่จริงๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะมั่นคงที่สุด
บักโป้กลายเป็นฮีโร่ของหมู่บ้านอีกครั้ง (ถึงแม้ว่าเรื่องเล่าของเขาจะเริ่มมีคำว่า "ย่อง" เพิ่มเข้ามา) เขาได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่ดูเหมือนจะแปลกประหลาด อาจมีเหตุผลที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่
ชาวบ้านเริ่มมองภูเขาอีเกิ้งด้วยความเคารพที่มากขึ้น พวกเขาเข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่ภูเขา แต่เป็นเหมือนเรือลำใหญ่ที่บรรทุกชีวิตมากมาย
ส่วนเต่ายักษ์ หลังจากแช่น้ำจนสบายใจแล้ว มันก็ค่อยๆ "ย่อง" กลับไปยังที่เดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ มุมมองของชาวบ้านที่มีต่อภูเขาอีเกิ้ง พวกเขาไม่ได้มองมันเป็นแค่ภูเขาที่ตั้งอยู่เฉยๆ อีกต่อไป แต่มองมันด้วยความเข้าใจในความไม่แน่นอน และพร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
และบักโป้... เขาก็ยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่มักจะเห็นอะไรแปลกๆ ก่อนใคร แต่เขาก็เป็นคนที่เปิดใจเรียนรู้และเข้าใจโลกในมุมมองใหม่ๆ เสมอ
บางครั้ง... ในวันที่เงียบสงบ บักโป้จะนั่งมองภูเขาอีเกิ้งด้วยรอยยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะคิดว่า "ป่านนี้มันสิย่องไปไสอีกน้อ?"
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอนถาวร การยอมรับความไม่แน่นอน และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับโลกได้อย่างมีความสุข และบางครั้ง... ภูเขาที่ดูเหมือนจะมั่นคงที่สุด ก็อาจจะกำลัง "ย่อง" ไปไหนมาไหนโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๘ (อีกครั้ง): บักโป้กับดวงจันทร์หายไป (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: คืนเดือนมืดที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาดาราศาสตร์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการสังเกตสิ่งผิดปกติบนท้องฟ้า กำลังนอนแผ่หลาอยู่ใต้ต้นมะม่วงหน้ากระท่อมด้วยใบหน้าเซ็งเป็ด
"โอ๊ย! มื้อนี้คือมืดคักแท้... คือจั่งบ่มีเดือนมีตะเว็นเลย" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ควรจะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์เต็มดวง
คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ บักโป้ตั้งใจว่าจะออกมานั่งชมจันทร์กับน้องไหม (ตามประสาคนกำลัง "จีบ") แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นท้องฟ้าที่มืดสนิท ราวกับมีใครเอาผ้าดำผืนใหญ่มาคลุมไว้ ไม่มีแม้แต่ดาวสักดวง
"หรือว่า... ฝนกำลังจะตกหนัก?" บักโป้ลุกพรวดขึ้นนั่ง มองหาเมฆฝน แต่ท้องฟ้ากลับโปร่งใส ไร้เมฆหมอก
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็ออกมาดูท้องฟ้าด้วยความตกใจและงุนงง
"ดวงจันทร์หายไปไสวะเนี่ย?" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"บ่เคยเห็นจั่งซี้มาก่อนเลย! คืนเดือนเพ็ญแท้ๆ แต่ฟ้ามืดตึ๊บ!" แม่ใหญ่ทองคำร้องเสียงหลง
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนใจเย็นๆ แต่สีหน้าของเขาก็ดูวิตกกังวลไม่น้อย
"ทุกคนอย่าตื่นตระหนก! พวกเราต้องหาสาเหตุว่าทำไมดวงจันทร์ถึงหายไป!" ผู้ใหญ่บ้านพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสนและหวาดกลัว บักโป้กลับยืนมองท้องฟ้ามืดมิดด้วยความคิดที่แตกต่างออกไป
"มันบ่ได้หายไปซื่อๆ ดอก... มันต้องมีหยัง... ที่บ่เที่ยง" บักโป้พึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
บทที่ ๒: การตามหาแสงที่หายไป
เมื่อดวงจันทร์หายไป ชาวบ้านต่างก็กระวนกระวายใจ บักโป้เองก็รู้สึกแปลกๆ ที่ไม่มีแสงจันทร์ส่องสว่างในยามค่ำคืน
"มันคือจั่งขาดหยังไป... บ่ม่วนคือเก่า" บักโป้บ่นกับตัวเอง
แต่แทนที่จะตื่นตระหนกเหมือนคนอื่นๆ บักโป้กลับเริ่มสังเกตสิ่งรอบตัวมากขึ้น ในความมืดมิด เขาสังเกตเห็นแสงจากหิ่งห้อยที่ส่องประกายระยิบระยับ แสงจากตะเกียงตามบ้านเรือน และแสงดาวเล็กๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกตเห็นเพราะแสงจันทร์กลบหมด
"ถึงแม้ดวงจันทร์สิบ่อยู่... กะยังมีแสงอื่นอยู่" บักโป้พึมพำ
บักโป้ตัดสินใจเดินสำรวจรอบหมู่บ้านในความมืดมิด เขาสังเกตเห็นว่าชาวบ้านหลายคนกำลังจุดไฟผิง พูดคุยกันด้วยเสียงที่เบาลง บรรยากาศดูเงียบสงบและแตกต่างจากคืนเดือนเพ็ญที่เคยครึกครื้น
"มันกะมีเสน่ห์ไปอีกแบบ..." บักโป้คิด
วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านยังคงพูดคุยถึงเรื่องดวงจันทร์ที่หายไป บางคนเชื่อว่ามีสัตว์ประหลาดมาขโมยไป บางคนเชื่อว่าเป็นลางร้าย
แต่บักโป้กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เขารู้สึกว่าการหายไปของดวงจันทร์กำลังสอนอะไรบางอย่างให้กับพวกเขา
"ทุกอย่างมันบ่เที่ยง... มีมา กะมีไป... มีสว่าง กะมีมืด" บักโป้พยายามอธิบายความคิดของตัวเองให้ไอ้เถิกฟัง
"มึงเว้าหยังวะไอ้โป้? กูแค่อยากเห็นดวงจันทร์" ไอ้เถิกตอบด้วยความหงุดหงิด
บทที่ ๓: การปรากฏตัวที่ไม่คาดคิด
คืนที่สองที่ไม่มีดวงจันทร์ ท้องฟ้ายังคงมืดมิด แต่ชาวบ้านเริ่มปรับตัวได้ พวกเขาจุดตะเกียงมากขึ้น และใช้ชีวิตในความมืดอย่างระมัดระวัง
บักโป้นั่งอยู่หน้ากระท่อม มองขึ้นไปยังท้องฟ้า เขารู้สึกถึงความสงบที่แตกต่างจากความสว่างของคืนเดือนเพ็ญ
"ความมืด... กะบ่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด" บักโป้พึมพำ
ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินนวลก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าทางทิศตะวันออก
"นั่นมัน... แสงจันทร์!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
ดวงจันทร์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า มันไม่ได้กลมโตเหมือนคืนเดือนเพ็ญที่หายไป แต่เป็นเสี้ยวพระจันทร์ข้างขึ้นเล็กๆ
"มันกลับมาแล้ว!" เสียงชาวบ้านดังมาจากทั่วหมู่บ้าน ทุกคนออกมาดูดวงจันทร์ที่กลับมาด้วยความดีใจ
แต่บักโป้กลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าคนอื่นๆ เขายืนมองเสี้ยวพระจันทร์เล็กๆ นั้นด้วยความเข้าใจ
"มันบ่ได้หายไปตลอด... มันแค่เปลี่ยนไป" บักโป้พึมพำ
ในคืนต่อๆ มา เสี้ยวพระจันทร์ค่อยๆ ใหญ่ขึ้น จนกระทั่งกลับมาเป็นดวงจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชาวบ้านไม่ได้รู้สึกแปลกใจ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
บทที่ ๔: บทเรียนแห่งความไม่เที่ยง
หลังจากเหตุการณ์ดวงจันทร์หายไป บักโป้ได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญ
เขาได้เรียนรู้ว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่คงอยู่ตลอดไป ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
การยึดติดกับสิ่งที่คุ้นเคย หรือสิ่งที่เรารัก อาจทำให้เราทุกข์เมื่อสิ่งเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงหรือจากไป
บักโป้เริ่มปล่อยวางความคาดหวัง เขายอมรับว่าดวงจันทร์อาจจะหายไปอีก หรืออาจจะไม่สว่างเหมือนเดิม
เขามีความสุขกับแสงจันทร์ในวันที่มันส่องสว่าง และเขาก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับความมืดในวันที่มันหายไป
บักโป้ยังคงชอบนั่งชมจันทร์กับน้องไหม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยึดติดกับความสมบูรณ์ของดวงจันทร์ เขา appreciating แสงจันทร์ในทุกรูปแบบ
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่เข้าใจถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกสิ่งด้วยใจที่ไม่ยึดติด
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ทุกสิ่งในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงจะนำมาซึ่งความทุกข์ การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและยอมรับการเปลี่ยนแปลง จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในทุกสถานการณ์ และบางที... การหายไปของสิ่งที่เรารัก อาจทำให้เราได้เห็นคุณค่าของสิ่งอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเรามากขึ้นก็ได้!
บักโป้กับนกพูดได้ (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่นกทักทาย
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาภาษาไทยใหม่) และความสามารถพิเศษในการคุยกับสัตว์ (แต่ส่วนใหญ่สัตว์จะหนี) กำลังนั่งปอกมะม่วงอยู่ใต้ต้นมะม่วงหลังบ้านด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย
"โอ๊ย! มื้อนี้บ่มีไผ๋คุยนำเลย... ชีวิตข้อยคือจั่งมะม่วงดิบ... เปรี้ยวบ่มีไผ๋อยากกิน" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางมองมะม่วงในมืออย่างเหงาๆ
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเล็กๆ แหลมๆ ดังมาจากบนต้นมะม่วง
"แหม... บ่นเก่งเหมือนกันนี่นา เจ้าหนุ่ม"
บักโป้สะดุ้งโหยง มองขึ้นไปยังต้นมะม่วงด้วยความตกใจ เขาเห็นนกตัวเล็กๆ ขนสีเขียวสดใส กำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตสีดำ
"ตะ... นก... เว้าได้ติ๊?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
"ก็เออน่ะสิ ไม่เห็นแปลกตรงไหน" นกสีเขียวตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
"บ๊ะ! ข้อยบ่เคยเจอนกเว้าได้จักเทือ!" บักโป้ตาโต
"นายน่ะสิไม่เคยฟังมากกว่ามั้ง พวกเราก็คุยกันอยู่ทุกวันนั่นแหละ แค่พวกนายไม่เคยใส่ใจฟัง" นกสีเขียวตอบกลับมาด้วยท่าทางเหมือนจะเบื่อหน่าย
"เจ้า... เจ้าชื่อหยังล่ะ?" บักโป้ถามด้วยความตื่นเต้น
"ข้าชื่อ 'เจ้าสำเนียง' เป็นนกแก้วพันธุ์พิเศษที่สามารถพูดภาษาคนได้ชัดแจ๋ว" นกสีเขียว (เจ้าสำเนียง) ตอบด้วยความภาคภูมิใจ
บักโป้นั่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง สมองอันน้อยนิดของเขากำลังประมวลผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเขาก็ถามคำถามแรกออกมาด้วยความสงสัย
"แล้ว... เจ้ามาเฮ็ดหยังอยู่ต้นมะม่วงข้อย?"
"ก็มาพักผ่อน หาอาหารแถวนี้น่ะ แถวนี้มะม่วงอร่อยดี แต่ดูเหมือนเจ้านายจะไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่" เจ้าสำเนียงตอบพลางจ้องมองมะม่วงในมือบักโป้
บทที่ ๒: บทสนทนาที่ไม่ราบรื่น
บักโป้เริ่มคุยกับเจ้าสำเนียงอย่างสนุกสนาน เขาเล่าเรื่องราวต่างๆ ในหมู่บ้านให้เจ้าสำเนียงฟัง แต่การสนทนาของพวกเขาก็ไม่ได้ราบรื่นนัก
"มื้อนี้แม่ใหญ่ทองคำบ่นข้อยเรื่องไก่หาย..." บักโป้เริ่มเล่า
"กะบอกแล้วไงว่าอย่าไปยุ่งกับไก่ของแก แกหวงจะตาย" เจ้าสำเนียงแทรกขึ้นมา
"บ่แม่น! ข้อยแค่เดินผ่านซื่อๆ..." บักโป้พยายามอธิบาย
"นั่นแหละ ตัวดีเลย เดินผ่านทีไร ไก่หายทุกที" เจ้าสำเนียงยังคงพูดแทรก
"เอ้า! นกคือมาหาว่าข้อยวะ?" บักโป้เริ่มไม่พอใจ
"ก็เห็นๆ อยู่ว่า..." เจ้าสำเนียงกำลังจะพูดต่อ
"พอๆๆ! ข้อยสิบ่คุยกับเจ้าแล้ว! เจ้ามันบ่ฟังข้อยเลย!" บักโป้ตัดบทอย่างหงุดหงิด
"ก็นายนั่นแหละไม่เคยฟังคนอื่น บ่นๆๆ อยู่คนเดียว" เจ้าสำเนียงสวนกลับ
บักโป้เงียบไป เขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่เจ้าสำเนียงพูด เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยฟังคนอื่นจริงๆ หรือเปล่า? เขามักจะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด โดยที่ไม่ค่อยสนใจว่าคนอื่นกำลังพูดอะไร
"เจ้าว่า... ข้อยเป็นคนบ่ฟังคนอื่นอีหลีติ๊?" บักโป้ถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
"ก็ลองถามใจตัวเองดูสิ เวลาคนอื่นพูด นายตั้งใจฟังจริงๆ จังๆ สักกี่ครั้ง?" เจ้าสำเนียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
บักโป้นั่งคิดทบทวน เขานึกถึงบทสนทนากับน้องไหม กับไอ้เถิก กับแม่ใหญ่ทองคำ... ส่วนใหญ่เขามักจะเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียวจริงๆ ด้วย
"ข้อย... ข้อยอาจสิเป็นจั่งซั่นอีหลี" บักโป้ยอมรับ
"การฟังคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญนะเจ้าหนุ่ม บางทีพวกเขาอาจจะมีเรื่องที่น่าสนใจ หรือมีคำแนะนำดีๆ ให้ก็ได้ ที่สำคัญ... มันแสดงให้เห็นว่านายให้ความเคารพพวกเขา" เจ้าสำเนียงกล่าว
บทที่ ๓: การฝึกฟังอย่างตั้งใจ
บักโป้ตัดสินใจที่จะลองฝึกฟังคนอื่นอย่างตั้งใจตามคำแนะนำของเจ้าสำเนียง
วันต่อมา เมื่อไอ้เถิกมาเล่าเรื่องที่โดนหมาไล่ บักโป้พยายามที่จะไม่พูดแทรก เขาตั้งใจฟังในสิ่งที่ไอ้เถิกเล่า ถามคำถามเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น และแสดงความเห็นใจ
"เออ... หมาตัวนั้นมันคือสิหวงก้างคักเติบ" บักโป้กล่าวหลังจากที่ไอ้เถิกเล่าจบ
"เออๆ มึงฟังกูเข้าใจนำติ๊นี่? ปกติมึงสิหัวเราะเยาะกูแล้ว" ไอ้เถิกแปลกใจ
"ข้อยกำลังฝึกฟังอยู่" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่อน้องไหมมาเล่าเรื่องดอกไม้ที่เธอปลูกไว้ บักโป้ก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่น้องไหมพูด ถามถึงรายละเอียดของดอกไม้แต่ละชนิด และชื่นชมในความงามของมัน
"อ้ายโป้มื้อนี้คือแปลกๆ คือบ่เว้าแทรกข้อยเลย?" น้องไหมถามด้วยความสงสัย
"ข้อยกำลังฝึกเป็นผู้ฟังที่ดี" บักโป้ตอบ
บักโป้พบว่าเมื่อเขาตั้งใจฟังคนอื่น เขาก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากขึ้น เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น และความสัมพันธ์ของเขากับคนรอบข้างก็ดีขึ้น
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป เพราะเขากำลังเชื่อมโยงกับผู้คนรอบข้างผ่านการฟังและการเข้าใจ
เจ้าสำเนียงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบักโป้ มันบินลงมาเกาะบนไหล่ของบักโป้ด้วยท่าทางที่ดูเป็นมิตรมากขึ้น
"ดีมากเจ้าหนุ่ม ข้าดีใจที่เจ้าเริ่มเข้าใจความสำคัญของการฟัง" เจ้าสำเนียงกล่าว
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ เจ้าสำเนียง ที่สอนข้อย" บักโป้ตอบด้วยความซาบซึ้ง
บทที่ ๔: เสียงที่ถูกมองข้าม
บักโป้เริ่มใส่ใจฟังเสียงต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ไม่ใช่แค่เสียงพูดของคน แต่รวมถึงเสียงของธรรมชาติ เสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงแมลง และเสียงใบไม้ไหว
เขาพบว่าในเสียงเหล่านั้นมีความหมายและความรู้สึกซ่อนอยู่มากมาย เพียงแค่เขาตั้งใจฟัง
วันหนึ่ง บักโป้นั่งอยู่ริมหนองน้ำ เขาได้ยินเสียงร้องเบาๆ ของกบ
"โอ๊บ... โอ๊บ... ข้อยหิว..."
บักโป้แปลกใจ เขาไม่เคยคิดว่ากบจะ "พูด" ได้
"เจ้า... เจ้าว่าหยังนะ?" บักโป้ถามกบ
"ข้อยหิว... บ่มีแมลงให้กินเลย..." กบตอบด้วยเสียงเศร้าๆ
บักโป้สังเกตเห็นว่าบริเวณหนองน้ำมีแมลงน้อยลงกว่าแต่ก่อน เขาเข้าใจว่ากบกำลังเดือดร้อน
ด้วยความเข้าใจ บักโป้จึงไปหาแมลงตามทุ่งนามาปล่อยไว้ริมหนองน้ำ กบดีใจมากและส่งเสียงร้องขอบคุณบักโป้
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ ที่ฟังเสียงของข้อย" กบกล่าว
เหตุการณ์นี้ทำให้บักโป้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญของการฟัง ไม่ใช่แค่ฟังคำพูด แต่เป็นการฟังด้วยความใส่ใจและเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่น (หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ) กำลังสื่อสาร
บักโป้ได้เรียนรู้ว่าทุกคนและทุกสิ่งรอบตัวมีเรื่องราวและความรู้สึก การเปิดใจฟังและทำความเข้าใจ จะทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงกับโลกได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นผู้ฟังที่ดีขึ้นมาก เขาใส่ใจในสิ่งที่คนอื่นพูด และพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา
เจ้าสำเนียงยังคงแวะเวียนมาคุยกับบักโป้บ่อยๆ และทุกครั้งที่บักโป้ตั้งใจฟังในสิ่งที่มันพูด เจ้าสำเนียงก็จะเล่าเรื่องราวสนุกๆ และให้คำแนะนำดีๆ กับบักโป้เสมอ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: การฟังอย่างตั้งใจและการพยายามทำความเข้าใจผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ บางครั้งเสียงที่ถูกมองข้าม อาจมีความหมายและความรู้สึกที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ เพียงแค่เราเปิดใจและตั้งใจฟัง และบางที... บทเรียนสำคัญในชีวิต อาจจะมาจากนกตัวเล็กๆ ที่พูดได้ก็ได้!
บักโป้กับหมู่บ้านลึกลับ (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่บักโป้หลงทางอย่างมีความสุข
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาพุทธศาสนาใหม่) และความสามารถพิเศษในการหลงทางไปในที่ที่ไม่น่าจะหลง กำลังเดินท่อมๆ อยู่ในป่าลึกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"โอ๊ย! มื้อนี้ข้อยคือหลงป่าลึกแท้... แต่บรรยากาศกะดีอยู่ดอก" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดลึกๆ
วันนี้บักโป้ออกมาเก็บเห็ดเผาะตามคำสั่งแม่ใหญ่ทองคำ แต่ด้วยความซื่อ (บื้อ) ของเขา เขาก็เดินเพลินจนหลงเข้าไปในป่าลึกที่ไม่เคยมาถึงมาก่อน
"บ่เป็นหยังดอก... เดี๋ยวข้อยกะหาทางออกได้เอง" บักโป้ให้กำลังใจตัวเอง พลางเดินต่อไปเรื่อยๆ
ในขณะที่บักโป้กำลังเดินชมธรรมชาติอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นแสงสว่างรำไรลอดออกมาจากพุ่มไม้ข้างหน้า
"นั่นมันแสงหยังวะ? หรือว่าข้อยเจอขุมทรัพย์?" บักโป้ตาโตด้วยความหวัง เดินตรงไปยังแสงนั้น
เมื่อพ้นพุ่มไม้ บักโป้ก็ต้องประหลาดใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา หมู่บ้านแห่งนี้เงียบสงบ บ้านเรือนสร้างด้วยไม้และดินอย่างเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน
"นี่มันหมู่บ้านอิหยังวะ? คือบ่เคยเห็นมาก่อน" บักโป้พึมพำด้วยความสงสัย
สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือ... ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มและสงบ พวกเขากำลังทำกิจกรรมต่างๆ อย่างช้าๆ และมีสติ บางคนกำลังเดินจงกรม บางคนกำลังนั่งสมาธิ บางคนกำลังทำงานฝีมืออย่างตั้งใจ
ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย ไม่มีเสียงทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่ความเงียบสงบและความเมตตาที่แผ่ซ่านไปทั่วหมู่บ้าน
"สวัสดีครับ/ค่ะ" ผู้คนในหมู่บ้านทักทายบักโป้ด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
"สะ... สวัสดีครับ/ค่ะ" บักโป้ตอบกลับด้วยความงุนงง
บทที่ ๒: ความสุขในความเรียบง่าย
บักโป้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้าน พวกเขาพาบักโป้เดินชมหมู่บ้าน และอธิบายถึงวิถีชีวิตของพวกเขา
"พวกเราอยู่ที่นี่ด้วยความสงบ พวกเราฝึกฝนจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรม และอยู่ร่วมกันด้วยความรักและความเข้าใจ" ชายชราผู้มีใบหน้าเมตตาอธิบาย
"ปฏิบัติธรรม? อยู่ด้วยความสงบ?" บักโป้ทวนคำด้วยความสงสัย เขาไม่เคยเห็นหมู่บ้านที่ผู้คนมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีโทรทัศน์ ไม่มีรถยนต์ และไม่มีเสียงเพลงดังๆ
"ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก แต่อยู่ที่ความสงบภายในจิตใจ" หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใสกล่าว
ชาวบ้านเล่าให้บักโป้ฟังว่า พวกเขาตื่นแต่เช้าเพื่อทำสมาธิ เดินจงกรม ทำงานร่วมกันอย่างสามัคคี และแบ่งปันสิ่งของซึ่งกันและกัน พวกเขางดเว้นจากการพูดจาที่ไร้สาระ การนินทา และการเบียดเบียนผู้อื่น
"พวกเราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ทำงานฝีมือ เพื่อเลี้ยงชีพ พวกเราพอใจในสิ่งที่เรามี และไม่ปรารถนาในสิ่งที่เกินตัว" เด็กชายตัวน้อยกล่าวด้วยความสุข
บักโป้สังเกตว่าชาวบ้านทุกคนดูมีความสุขอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเหมือนคนในหมู่บ้านของเขาก็ตาม
"แล้ว... พวกเจ้าบ่เคยทะเลาะกันบ่?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
ชาวบ้านหัวเราะเบาๆ
"ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้ แต่พวกเราเรียนรู้ที่จะพูดคุยกันด้วยความเมตตา รับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และหาทางออกร่วมกันด้วยสันติ" ชายชราตอบ
บักโป้รู้สึกประทับใจในวิถีชีวิตของชาวบ้าน เขาสัมผัสได้ถึงความสงบและความสุขที่แท้จริงที่แผ่ซ่านไปทั่วหมู่บ้าน
บทที่ ๓: การเรียนรู้จากความสงบ
บักโป้ใช้เวลาหลายวันอยู่ในหมู่บ้านลึกลับแห่งนี้ เขาลองทำตามกิจกรรมต่างๆ ที่ชาวบ้านทำ เขานั่งสมาธิ เดินจงกรม ช่วยทำงานฝีมือ และพูดคุยกับชาวบ้านด้วยความตั้งใจ
ในช่วงแรก บักโป้รู้สึกกระวนกระวายใจกับการต้องอยู่อย่างเงียบๆ และทำอะไรช้าๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความสงบที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใจ
"มันคือจั่งใจข้อยได้พักผ่อน... บ่ต้องคิดหลาย บ่ต้องฟ้าว" บักโป้พึมพำกับตัวเอง
ชาวบ้านสอนบักโป้ถึงหลักการปฏิบัติธรรมอย่างง่ายๆ พวกเขาสอนให้เขามีสติในการทำทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเดิน การกิน การพูด หรือการคิด
"เมื่อเจ้ามีสติ เจ้าจะรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างแท้จริง เจ้าจะไม่จมอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง" หญิงสาวอธิบาย
บักโป้พยายามฝึกฝนตามที่ชาวบ้านสอน ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาก็ยังเผลอคิดถึงเรื่องสนุกสนานในหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง หรือกังวลเรื่องแม่ใหญ่ทองคำจะบ่นเรื่องเห็ดเผาะก็ตาม
แต่โดยรวมแล้ว บักโป้รู้สึกว่าจิตใจของเขาสงบลงมาก เขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือกระวนกระวายเหมือนเมื่อก่อน
"ข้อยเริ่มเข้าใจแล้ว... ความสุขมันอยู่ตรงนี้... ในความสงบ" บักโป้กล่าวกับชายชรา
"ถูกต้องแล้ว ความสุขที่แท้จริงอยู่ในตัวเจ้าเอง เจ้าแค่ต้องค้นหามันให้เจอ" ชายชราตอบด้วยรอยยิ้ม
บทที่ ๔: การกลับสู่โลกเดิมด้วยใจที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม บักโป้ก็กล่าวลาชาวบ้านด้วยความขอบคุณ พวกเขามอบเมล็ดพันธุ์ผักและคำแนะนำดีๆ ให้บักโป้ติดตัวกลับไปด้วย
"ขอบคุณทุกท่านหลายๆ เด้อ ที่สอนสิ่งดีๆ ให้ข้อย" บักโป้กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
"จงนำความสงบและความสุขที่เจ้าได้รับกลับไปสู่หมู่บ้านของเจ้า และแบ่งปันให้กับผู้คนรอบข้าง" ชายชรากล่าวอำลา
บักโป้เดินทางกลับสู่หมู่บ้านโคกอีเกิ้งด้วยใจที่เปลี่ยนแปลงไป เขายังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็มีความสงบในจิตใจมากขึ้น
เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องเห็ดเผาะตามคาด แต่บักโป้ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน เขารับฟังด้วยความสงบและขอโทษแม่ใหญ่
บักโป้เริ่มนำสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากหมู่บ้านลึกลับมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เขาพยายามมีสติในการทำทุกสิ่ง พูดจาด้วยความเมตตา และช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ทำได้
ถึงแม้ว่าผู้คนในหมู่บ้านโคกอีเกิ้งจะยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ แต่บักโป้ก็ไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงใคร เขาแค่ใช้ชีวิตของเขาอย่างมีความสุขและสงบ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ... รอยยิ้มของบักโป้ มันเป็นรอยยิ้มที่มาจากความสงบภายใน รอยยิ้มที่สามารถส่งต่อความสุขให้กับผู้คนรอบข้างได้
และบางครั้ง... เมื่อบักโป้รู้สึกวุ่นวายใจ เขาก็จะหลับตาลง หวนนึกถึงความสงบและความสุขที่เขาเคยสัมผัสได้ในหมู่บ้านลึกลับแห่งนั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก แต่อยู่ที่ความสงบภายในจิตใจ การฝึกฝนจิตใจด้วยการมีสติและการอยู่ร่วมกันด้วยความรักความเข้าใจ จะนำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืน และบางที... หมู่บ้านแห่งความสุขและความสงบ อาจจะซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก รอให้ผู้ที่มีใจเปิดกว้างได้ค้นพบก็ได้!
บักโป้กับแม่น้ำวิเศษ (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่แม่น้ำเปลี่ยนสี
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการสังเกตสิ่งผิดปกติในธรรมชาติ กำลังนั่งตกปลาอยู่ริมแม่น้ำอีเกิ้งด้วยใบหน้าเซ็งเป็ด
"โอ๊ย! มื้อนี้ปลาคือบ่กินเบ็ดข้อยจักโตวะ? หรือว่าน้ำมันขุ่นโพด?" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางมองผิวน้ำในแม่น้ำอีเกิ้งที่ไหลเอื่อยๆ
แม่น้ำอีเกิ้งเป็นสายเลือดหลักของหมู่บ้าน ชาวบ้านใช้น้ำในแม่น้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภค และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ บักโป้มักจะมานั่งตกปลาที่นี่เป็นประจำ
แต่แล้ว... วันนี้แม่น้ำอีเกิ้งดูแปลกไป น้ำที่เคยใสสะอาด กลับกลายเป็นสีฟ้าคราม ส่องประกายระยิบระยับราวกับมีอัญมณีซ่อนอยู่ข้างใต้
"บ๊ะ! น้ำคือเปลี่ยนสีวะ? หรือว่ามีคนเอาน้ำยาซักผ้ามาย้อม?" บักโป้ตาโตด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นแม่น้ำอีเกิ้งเป็นสีนี้มาก่อนเลย
เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างก็พากันมาดูแม่น้ำที่เปลี่ยนสีด้วยความตกใจและสงสัย
"น้ำเป็นสีฟ้า! คือจั่งน้ำทะเล!" ไอ้เถิกอุทานด้วยความประหลาดใจ
"เกิดหยังขึ้นวะเนี่ย? น้ำเป็นพิษบ่?" แม่ใหญ่ทองคำร้องถามด้วยความกังวล
ผู้ใหญ่บ้านรีบออกมาสั่งให้ทุกคนอย่าเพิ่งใช้น้ำในแม่น้ำ จนกว่าจะรู้สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตระหนก บักโป้กลับยืนมองแม่น้ำสีฟ้าครามด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดด้วยความสวยงามและแปลกประหลาดของมัน
"มันคือจั่ง... น้ำวิเศษ" บักโป้พึมพำกับตัวเอง
บทที่ ๒: การเดินทางตามสายน้ำ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น บักโป้ตัดสินใจเดินเลียบแม่น้ำอีเกิ้งตามน้ำขึ้นไป เพื่อหาสาเหตุที่ทำให้น้ำเปลี่ยนสี
"มันต้องมีหยังพิเศษอยู่ต้นน้ำแน่ๆ" บักโป้คิด
การเดินทางตามแม่น้ำเป็นไปอย่างสบายๆ บรรยากาศริมน้ำสดชื่น บักโป้ได้เห็นสัตว์ป่าที่ไม่คุ้นเคย และดอกไม้ป่าสวยงามที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อบักโป้เดินไปเรื่อยๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าสีของน้ำค่อยๆ เปลี่ยนไป จากสีฟ้าคราม กลายเป็นสีเขียวมรกต แล้วก็กลายเป็นสีทองอร่าม
"บ๊ะ! น้ำเปลี่ยนสีได้คือจั่งกิ้งก่า!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
ในที่สุด บักโป้ก็เดินมาถึงต้นน้ำ เขาพบว่าต้นน้ำของแม่น้ำอีเกิ้งมาจากถ้ำเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่บนภูเขาสูง
"แสงสีต่างๆ ออกมาจากถ้ำนั่น!" บักโป้ตาโต เดินตรงไปยังถ้ำด้วยความสงสัย
เมื่อเข้าไปในถ้ำ บักโป้ก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่อยู่ข้างใน ถ้ำแห่งนี้มีผลึกหินหลากสี ส่องประกายระยิบระยับ แสงจากผลึกหินเหล่านั้นส่องลงมายังแหล่งน้ำ ทำให้เกิดสีสันต่างๆ ในแม่น้ำ
"นี่มัน... ถ้ำอัญมณี!" บักโป้ร้องอุทานด้วยความตื่นตาตื่นใจ
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ... บักโป้ได้ยินเสียงกระซิบแว่วมาจากแหล่งน้ำ
"ยินดีต้อนรับ... ผู้มาเยือน..."
บักโป้มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
"ใคร... ใครเว้า?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ข้าคือ... สายน้ำแห่งปัญญา... น้ำของข้าจะเปลี่ยนสีไปตามความคิดและความรู้สึกของผู้ที่สัมผัส..." เสียงนั้นตอบกลับมา
บทที่ ๓: ปัญญาจากสายน้ำ
บักโป้นั่งลงริมแหล่งน้ำ มองดูสีสันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ
"เจ้า... เจ้าเป็นน้ำวิเศษอีหลีติ๊?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ข้าคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ... เช่นเดียวกับเจ้า... ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง... ไหลไปตามวิถีของมัน" สายน้ำแห่งปัญญาตอบ
"ไหลไปตามวิถีของมัน... หมายความว่าจั่งได๋?" บักโป้ถาม
"เจ้าเคยพยายามที่จะกักเก็บน้ำในมือบ่? ยิ่งเจ้ากำแน่น น้ำก็จะยิ่งไหลออกจากมือเจ้า... เช่นเดียวกับชีวิต... ยิ่งเจ้าพยายามยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยง... เจ้าก็จะยิ่งทุกข์" สายน้ำอธิบาย
บักโป้เริ่มคิดถึงสิ่งที่เขาเคยยึดติด... ความสุข ความสบาย ความรัก... และความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งเหล่านั้น
"แล้ว... เฮาควรจะเฮ็ดจั่งได๋?" บักโป้ถาม
"จงปล่อยวาง... ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามธรรมชาติ... เหมือนสายน้ำที่ไหลไปโดยไม่ยึดติดกับสิ่งใด... เมื่อเจ้าปล่อยวาง... เจ้าก็จะพบกับความสงบ" สายน้ำตอบ
บักโป้นั่งเงียบๆ คิดตามคำพูดของสายน้ำ เขาเริ่มเข้าใจว่าการยึดติดกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะนำมาซึ่งความทุกข์
"แต่... มันยากเด้... ที่สิปล่อยวางทุกอย่าง" บักโป้กล่าวด้วยความสัตย์จริง
"การฝึกฝนต้องใช้เวลา... จงเรียนรู้ที่จะสังเกตการเปลี่ยนแปลง... เรียนรู้ที่จะยอมรับ... และเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง... เหมือนที่ข้าไหลไป... โดยไม่ยึดติดกับสีใดสีหนึ่ง" สายน้ำกล่าว
บักโป้จ้องมองสีสันที่ไหลเวียนอยู่ในแหล่งน้ำ เขาเริ่มรู้สึกถึงความสงบที่แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ
บทที่ ๔: การไหลไปกับปัจจุบัน
บักโป้ใช้เวลาอยู่กับสายน้ำแห่งปัญญาอีกพักใหญ่ เขาเรียนรู้ที่จะสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสีน้ำ โดยไม่พยายามที่จะควบคุมหรือยึดติดกับสีใดสีหนึ่ง
เขานั่งมองน้ำสีฟ้าครามไหลผ่านไป แล้วก็มีน้ำสีเขียวมรกตไหลตามมา แล้วก็เป็นสีทองอร่าม... ทุกสีล้วนสวยงามในแบบของมัน และทุกสีก็ไหลผ่านไป
"ข้อยเริ่มเข้าใจแล้ว... การปล่อยวาง... คือการอยู่กับปัจจุบัน... โดยไม่ยึดติดกับอดีต หรือกังวลถึงอนาคต" บักโป้กล่าว
"ถูกต้องแล้ว... จงไหลไปกับปัจจุบัน... เหมือนสายน้ำ" สายน้ำตอบ
เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม บักโป้ก็กล่าวลาสายน้้ำแห่งปัญญาด้วยความขอบคุณ
"ขอบคุณเจ้าหลายๆ เด้อ... ที่สอนข้อย" บักโป้กล่าว
"จงนำปัญญาที่เจ้าได้รับกลับไปสู่โลกของเจ้า... และจงไหลไปตามวิถีของเจ้า... อย่างอิสระ" สายน้ำตอบ
บักโป้เดินทางกลับสู่หมู่บ้านโคกอีเกิ้ง แม่น้ำอีเกิ้งกลับมาเป็นสีใสสะอาดเหมือนเดิม ชาวบ้านต่างก็โล่งใจ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ... บักโป้ เขากลับมาด้วยใจที่สงบและเข้าใจโลกมากขึ้น
เขาไม่ได้พยายามที่จะยึดติดกับสิ่งต่างๆ เหมือนเมื่อก่อน เขายอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่รู้จักปล่อยวาง และไหลไปตามธรรมชาติของชีวิตได้อย่างมีความสุข
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ทุกสิ่งในชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การพยายามยึดติดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงจะนำมาซึ่งความทุกข์ การเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและไหลไปตามธรรมชาติ จะทำให้เราพบกับความสงบและความสุขที่แท้จริง และบางที... ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจจะซ่อนอยู่ในสายน้ำที่ไหลผ่านหน้าบ้านของเราก็ได้!
บักโป้กับต้นไม้ให้พร (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่ต้นไม้กระซิบ
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาพฤกษศาสตร์ใหม่) และความสามารถพิเศษในการเผลอหลับใต้ต้นไม้ทุกชนิด กำลังงีบหลับสบายอยู่ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กลางหมู่บ้าน
"อืมมม... เย็นสบายแท้..." บักโป้พึมพำในลำคอ พลางพลิกตัวอย่างมีความสุข
ต้นโพธิ์ต้นนี้เป็นที่พักพิงประจำของบักโป้ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ร่มเงาของมันเย็นสบาย และลมที่พัดผ่านใบไม้ก็ไพเราะราวกับเสียงดนตรี
ทันใดนั้นเอง บักโป้ก็รู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู
"เจ้าหนุ่ม... เจ้าเหนื่อยหรือไม่?"
บักโป้สะดุ้งตื่น ลืมตาโพลง มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร
"เสียงหยังวะนั่น? หรือว่าข้อยฝัน?" บักโป้เกาหัวแกรกๆ
"ข้าเอง... ข้ากำลังคุยกับเจ้า" เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้บักโป้รู้สึกเหมือนเสียงมาจากข้างบน
บักโป้เงยหน้าขึ้นมอง ก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าใบของต้นโพธิ์กำลังสั่นไหวเบาๆ ราวกับกำลังพูด
"ตะ... ต้นไม้... เว้าได้ติ๊?" บักโป้ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ
"ใช่แล้ว... ข้าชื่อ 'ร่มโพธิ์' ข้าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในผืนดินแห่งนี้มานานนับร้อยปี" ต้นโพธิ์ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงความเมตตา
"บ๊ะ! ข้อยบ่เคยเจอต้นไม้เว้าได้จักเทือ!" บักโป้ตาโต
"เจ้าอาจจะไม่เคยตั้งใจฟังมากกว่า... ต้นไม้ก็สื่อสารในแบบของมันเสมอ เพียงแต่พวกเจ้าไม่ได้ยิน" ร่มโพธิ์กล่าว
"แล้ว... เจ้าคุยกับข้อยเฮ็ดหยัง?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"ข้ารู้สึกถึงความเหนื่อยล้าในใจของเจ้า... เจ้าแบกรับอะไรไว้มากมายหรือไม่?" ร่มโพธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง
บักโป้เงียบไปครู่หนึ่ง เขานึกถึงภาระหน้าที่ต่างๆ ที่เขาต้องทำ ความคาดหวังของคนรอบข้าง และความปรารถนาเล็กๆ น้อยๆ ในใจที่ยังไม่เป็นจริง
"กะมีหลายอย่างอยู่ดอก... ที่ข้อยต้องคิด ต้องเฮ็ด" บักโป้ตอบเสียงแผ่ว
"จงพักพิงใต้ร่มเงาของข้า... แล้วเล่าให้ข้าฟัง... บางทีข้าอาจจะช่วยแบ่งเบาเจ้าได้บ้าง" ร่มโพธิ์กล่าวอย่างใจดี
บทที่ ๒: การแบ่งปันภาระ
บักโป้เล่าเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเขาให้ร่มโพธิ์ฟัง ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการช่วยแม่ใหญ่ทองคำเก็บไก่ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างความฝันที่จะสร้างครอบครัวกับน้องไหม
ร่มโพธิ์รับฟังทุกเรื่องราวของบักโป้อย่างอดทน ไม่มีการตัดสิน ไม่มีการตำหนิ มีแต่ความเข้าใจและความเมตตา
"เจ้าเป็นคนดี... มีน้ำใจ... แต่เจ้าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว... เหมือนกิ่งก้านที่พยายามรับลมพายุทั้งหมดไว้เอง" ร่มโพธิ์กล่าวหลังจากที่บักโป้เล่าจบ
"แล้ว... ข้อยควรจะเฮ็ดจั่งได๋?" บักโป้ถามด้วยความสับสน
"จงเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน... เหมือนที่ข้าแบ่งปันร่มเงาให้แก่ผู้ที่มาพักพิง... การให้... ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียเสมอไป... บางครั้งมันคือการแบ่งเบาภาระของตัวเองด้วย" ร่มโพธิ์อธิบาย
"แบ่งปัน... ให้..." บักโป้ทวนคำ
"ใช่... เจ้าสามารถแบ่งปันความช่วยเหลือ... แบ่งปันความรัก... แบ่งปันความสุข... และแม้แต่แบ่งปันความทุกข์... เมื่อเจ้าให้... เจ้าจะได้รับกลับมาในรูปแบบอื่นเสมอ" ร่มโพธิ์กล่าว
บักโป้เริ่มคิดถึงคำพูดของร่มโพธิ์ เขานึกถึงครั้งที่เขาช่วยเหลือคนอื่น และรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
"แต่... บางทีข้อยกะบ่มีหยังให้..." บักโป้กล่าวด้วยความรู้สึกน้อยใจ
"เจ้ามีมากมาย... เจ้ามีรอยยิ้ม... เจ้ามีน้ำใจ... เจ้ามีกำลังกาย... สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่" ร่มโพธิ์กล่าว
บทที่ ๓: การให้และการเสียสละ
บักโป้เริ่มฝึกการให้ตามคำแนะนำของร่มโพธิ์ เขาช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่างๆ เท่าที่เขาทำได้ โดยไม่หวังผลตอบแทน
เขาช่วยแม่ใหญ่ทองคำหาไก่ที่หายไป ช่วยไอ้เถิกแบกของหนัก ช่วยน้องไหมทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ และเล่าเรื่องตลกให้เด็กๆ ฟัง
เมื่อบักโป้ให้... เขาก็รู้สึกถึงความสุขที่เกิดขึ้นในใจ มันเป็นความสุขที่แตกต่างจากการได้รับ
"ข้อยรู้สึกดีขึ้นอีหลี... เวลาที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น" บักโป้บอกกับร่มโพธิ์
"นั่นแหละคือพลังของการให้... มันไม่ได้ทำให้เจ้าสูญเสีย... แต่มันเติมเต็มเจ้าจากภายใน" ร่มโพธิ์กล่าว
แต่แล้ว... วันหนึ่งก็เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำหมู่บ้านโคกอีเกิ้ง ต้นไม้หลายต้นล้มระเนระนาด หลังคาบ้านเรือนเสียหาย
ร่มโพธิ์เองก็ถูกลมพายุพัดอย่างแรง กิ่งก้านของมันหักลงมาหลายกิ่ง
"ร่มโพธิ์! เจ้าเป็นหยังบ่?" บักโป้ร้องถามด้วยความเป็นห่วง วิ่งเข้าไปดูต้นไม้ใหญ่ด้วยความตกใจ
"ข้าบ่เป็นหยังมากดอกเจ้าหนุ่ม... แค่เสียกิ่งก้านไปบ้าง" ร่มโพธิ์ตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
ชาวบ้านพากันมาช่วยกันเก็บกิ่งไม้ที่หัก และช่วยกันซ่อมแซมบ้านเรือน
บักโป้รู้สึกเสียใจที่เห็นร่มโพธิ์ได้รับความเสียหาย เขาอยากจะช่วยอะไรบ้าง
"ข้อย... ข้อยจะช่วยเก็บกิ่งไม้พวกนี้เอง" บักโป้กล่าวอย่างตั้งใจ
บักโป้ช่วยชาวบ้านเก็บกิ่งไม้ใหญ่ที่หักของร่มโพธิ์อย่างแข็งขัน เขาแบกกิ่งไม้หนักๆ ไปทิ้ง โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
"เจ้าเหนื่อยหรือไม่เจ้าหนุ่ม?" ร่มโพธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง
"บ่ดอก... ข้อยอยากจะช่วยเจ้า" บักโป้ตอบด้วยความจริงใจ
"ขอบคุณเจ้ามาก... การเสียสละของเจ้า... ทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นใจ" ร่มโพธิ์กล่าว
บทที่ ๔: คุณค่าที่แท้จริง
หลังจากพายุสงบ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งก็ค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิม ชาวบ้านช่วยกันซ่อมแซมทุกสิ่งทุกอย่าง
ร่มโพธิ์ถึงแม้จะเสียกิ่งก้านไปบ้าง แต่ก็ยังคงยืนต้นอย่างแข็งแรง และยังคงให้ร่มเงาแก่ผู้ที่มาพักพิง
บักโป้นั่งพักเหนื่อยใต้ร่มเงาของร่มโพธิ์ มองดูความเสียหายที่เกิดขึ้น
"ข้อยเสียใจนำเจ้าเด้อร่มโพธิ์" บักโป้กล่าว
"มันเป็นธรรมดาของการเปลี่ยนแปลงเจ้าหนุ่ม... การเสียสละบ้าง... เพื่อให้สิ่งอื่นอยู่รอด... ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ" ร่มโพธิ์กล่าว
"เสียสละ... เพื่อให้สิ่งอื่นอยู่รอด..." บักโป้ทวนคำ
"ใช่... เหมือนที่ข้าเสียกิ่งก้านไป... แต่ก็ยังคงหยั่งรากให้ผืนดิน... และให้ร่มเงาแก่ผู้ที่ต้องการ... การให้และการเสียสละ... คือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต" ร่มโพธิ์อธิบาย
บักโป้เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคำสอนของร่มโพธิ์ การให้และการเสียสละ ไม่ได้หมายถึงการสูญเสีย แต่เป็นการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขและความอิ่มเอมใจที่แท้จริง
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่รู้จักคุณค่าของการให้และการเสียสละ เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน และเข้าใจว่าการกระทำเหล่านั้นจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
ร่มโพธิ์ยังคงเป็นเพื่อนที่คอยให้คำแนะนำและกำลังใจแก่บักโป้เสมอ และทุกครั้งที่บักโป้นั่งพักใต้ร่มเงาของมัน เขาก็จะรู้สึกถึงความเมตตาและความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ต้นนี้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: การให้และการเสียสละ ไม่ได้ทำให้เราสูญเสีย แต่เป็นการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขและความอิ่มเอมใจที่แท้จริง คุณค่าที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การได้รับเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การให้และการแบ่งปันให้กับผู้อื่นด้วย และบางที... บทเรียนอันลึกซึ้ง อาจจะมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เรามองข้ามไปก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๓ (อีกครั้ง): บักโป้กับเสื้อแห่งความสุข (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่บักโป้อยากได้เสื้อใหม่
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาแฟชั่นใหม่) และความสามารถพิเศษในการทำเสื้อตัวเก่งขาดทุกครั้งที่ไปงานบุญ กำลังนั่งถอนหายใจอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเก่าๆ
"โอ๊ย! เสื้อข้อยคือเก่าคือโทรมแท้... ใกล้สิถึงงานบุญแล้ว ข้อยบ่มีเสื้อใหม่ใส่ไปอวดน้องไหมเลย" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางมองเสื้อตัวโปรดที่ขาดวิ่นตรงรักแร้อย่างเศร้าใจ
บักโป้เป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องเสื้อผ้า แต่พอใกล้งานบุญทีไร เขาก็อยากจะมีเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่ไปอวดสาวๆ ในหมู่บ้าน โดยเฉพาะน้องไหมที่เขาหมายปองอยู่
"ถ้าข้อยมีเสื้อใหม่หล่อๆ น้องไหมคงสิหันมามองข้อยบ้าง" บักโป้ฝันหวาน
ด้วยความคิดนี้ บักโป้จึงตัดสินใจออกเดินทางไปตลาดในเมือง เพื่อตามหาเสื้อใหม่ที่เขาคิดว่าจะนำความสุขมาให้
"ข้อยสิต้องหาเสื้อที่ใส่แล้วหล่อบาดใจ... น้องไหมเห็นแล้วต้องตะลึง!" บักโป้ประกาศอย่างมุ่งมั่น
บทที่ ๒: การตามหาเสื้อแห่งความสุข
บักโป้เดินตระเวนไปทั่วตลาดในเมือง มองหาเสื้อผ้าที่ถูกใจ เขาเห็นเสื้อสีสันสดใส เสื้อลายเท่ๆ เสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกว่าเสื้อตัวไหนจะนำความสุขมาให้เขาได้จริงๆ
"เสื้อตัวนั้นกะหล่อ... เสื้อตัวนี้กะเท่... แต่คือบ่รู้สึกว่ามันใช่?" บักโป้เริ่มสับสน
เขาเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ที่มีป้ายเขียนว่า "เสื้อแห่งความสุข ใส่แล้วมีแต่ความสุข"
"ป้าครับ/คะ เสื้อแห่งความสุขนี่เป็นจั่งได๋ครับ/คะ?" บักโป้ถามเจ้าของร้านด้วยความหวัง
"อ๋อ! เสื้อแห่งความสุขของเราน่ะพิเศษนะ ใส่แล้วจะรู้สึกสบายใจ มีแต่คนรักใคร่ แถมยังโชคดีอีกด้วย!" ป้าเจ้าของร้านตอบด้วยรอยยิ้ม
บักโป้ตาลุกวาว เขาตัดสินใจซื้อเสื้อตัวนั้นทันที มันเป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว เนื้อผ้าบางเบาสบาย
"ขอบคุณป้าหลายๆ เด้อ! ข้อยหวังว่าเสื้อตัวนี้สิเฮ็ดให้ข้อยมีความสุขอีหลี" บักโป้กล่าวด้วยความดีใจ
เมื่อกลับถึงบ้าน บักโป้รีบลองใส่เสื้อแห่งความสุข เขาส่องกระจกแล้วยิ้มให้กับตัวเอง
"หล่อขึ้นทันตาเห็นเลย! น้องไหมต้องชอบแน่ๆ!" บักโป้คิด
แต่เมื่อเขาใส่เสื้อตัวนั้นไปทำกิจกรรมต่างๆ ในวันนั้น เขากลับไม่ได้รู้สึกมีความสุขอย่างที่คิด
เขาไปช่วยแม่ใหญ่ทองคำตำข้าว แต่เสื้อขาวก็เปื้อนคราบข้าว ไปช่วยไอ้เถิกยกของ เสื้อก็ขาดตรงตะเข็บ ไปหาน้องไหม น้องไหมก็ทักว่าเสื้อเขาดูธรรมดา ไม่เห็นจะพิเศษตรงไหน
"เอ้า! เสื้อแห่งความสุขนี่มันบ่เห็นสิเฮ็ดให้ข้อยมีความสุขเลย!" บักโป้เริ่มหงุดหงิด
บทที่ ๓: ความสุขที่ไม่ใช่จากเสื้อ
บักโป้นั่งถอดเสื้อแห่งความสุขมองด้วยความผิดหวัง เขาเสียเงินไปกับเสื้อตัวนี้ แต่กลับไม่ได้รู้สึกมีความสุขอย่างที่หวังไว้
"หรือว่า... เสื้อแห่งความสุขมันบ่มีอยู่จริง?" บักโป้พึมพำ
ทันใดนั้นเอง เขาก็เหลือบไปเห็นเสื้อตัวเก่าที่ขาดวิ่นของเขา บักโป้หยิบมันขึ้นมามองด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
เสื้อตัวนี้อยู่กับเขามานาน ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย มันอาจจะเก่าและขาด แต่ทุกร่องรอยบนเสื้อตัวนี้ล้วนมีความทรงจำ
บักโป้นึกถึงวันที่เขาใส่เสื้อตัวนี้ไปจีบน้องไหมครั้งแรก วันที่เขาใส่ไปเล่นสงกรานต์อย่างสนุกสนาน วันที่เขาใส่ไปช่วยงานบุญที่หมู่บ้าน
"เสื้อตัวนี้... มันอาจสิบ่ใหม่ บ่หล่อ... แต่มันกะมีความสุขของมันอยู่" บักโป้เริ่มเข้าใจ
เขาลองใส่เสื้อตัวเก่าอีกครั้ง มันอาจจะไม่สบายเท่าเสื้อใหม่ แต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย
บักโป้นั่งลงมองเสื้อทั้งสองตัว เสื้อใหม่ที่เขาคิดว่าจะนำความสุขมาให้ กับเสื้อเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
"ความสุข... มันบ่อยู่ที่เสื้อผ้า... มันอยู่ที่ใจของเราต่างหาก" บักโป้ตระหนักได้
บทที่ ๔: ความสุขในสิ่งที่มี
บักโป้ตัดสินใจที่จะใส่เสื้อตัวเก่าไปงานบุญ เขาทำความสะอาดมันอย่างดี ถึงมันจะขาดวิ่นบ้าง แต่เขาก็ใส่ด้วยความมั่นใจ
เมื่อไปถึงงานบุญ บักโป้ไม่ได้รู้สึกน้อยใจที่เสื้อผ้าของเขาไม่ใหม่ ไม่หล่อ เหมือนคนอื่นๆ เขามีความสุขกับการได้พบปะเพื่อนฝูง ได้ร่วมทำบุญ และได้สนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ
น้องไหมเห็นบักโป้ใส่เสื้อตัวเก่า เธอก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร กลับยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
"อ้ายโป้ใส่เสื้อตัวนี้กะเบิ่งดีคือเก่าเนาะ" น้องไหมกล่าว
"ขอบคุณเด้อน้องไหม... ความสุขมันบ่อยู่ที่เสื้อผ้า... มันอยู่ที่ใจของเรา" บักโป้ตอบด้วยรอยยิ้ม
บักโป้มีความสุขกับงานบุญในวันนั้นอย่างแท้จริง เขาไม่ได้รู้สึกขาดอะไร เพราะเขามีความสุขกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว
เขาได้เรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากสิ่งของภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าใหม่ๆ หรือสิ่งอื่นๆ ที่เขาเคยอยากได้
ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี การเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว และการมีความสุขกับปัจจุบัน
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่เข้าใจถึงความสุขที่แท้จริง เขาไม่ได้วิ่งตามหาความสุขจากสิ่งภายนอกอีกต่อไป แต่เขามีความสุขกับสิ่งที่เขามีอยู่แล้ว
เสื้อตัวเก่าที่ขาดวิ่นของบักโป้ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสุขที่แท้จริง สำหรับเขา มันไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นเครื่องเตือนใจให้เขาพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และมีความสุขกับทุกๆ วัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากสิ่งของภายนอก แต่เกิดจากความพอใจในสิ่งที่เรามี การเห็นคุณค่าของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว และการมีความสุขกับปัจจุบัน คือหนทางสู่ความสุขที่ยั่งยืน และบางที... เสื้อตัวเก่าที่เรามองข้ามไป อาจมีความสุขซ่อนอยู่มากกว่าที่เราคิดก็ได้!
นวนิยายแนวตลกแล้วสนุก นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เรื่องบักโป้ ตอนที่ ๑๔ (อีกครั้ง): บักโป้กับกระจกใจ (ฉบับใหม่)
บทที่ ๑: วันที่บักโป้เห็นแต่ความดีของตัวเอง
ณ หมู่บ้านโคกอีเกิ้งอันแสนจะครึกครื้น (ด้วยเสียงแม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องไก่ที่หายไปพร้อมกับความหวังว่าจะถูกหวย และเสียงไอ้เถิกผิวปากจีบน้องไหมจนแมลงหวี่พากันอพยพ... อีกแล้ว) บักโป้ หนุ่มร่างท้วม ผู้มีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องความซื่อ (จนน่าจับมาเรียนวิชาจิตวิทยาใหม่) และความสามารถพิเศษในการมองเห็นแต่ข้อดีของตัวเอง กำลังนั่งชมตัวเองในกระจกบานเก่าๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแป้น
"โอ๊ย! บักโป้เอ้ย! มึงนี่มันหล่อเหลาเอาการอีหลีเนาะ! น้ำใจกะประเสริฐ บ่มีไผ๋ดีท่อเจ้าแล้ว" บักโป้พึมพำกับตัวเอง พลางจัดผมที่ยุ่งเหยิง
บักโป้เป็นคนมองโลกในแง่ดี... มากเสียจนบางทีก็มองข้ามข้อเสียของตัวเองไป เขามักจะคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว และไม่ค่อยใส่ใจกับคำติชมของคนอื่น
"ข้อยเฮ็ดหยังกะดีเบิ้ด! บ่มีไผ๋ว่าข้อยได้ดอก!" บักโป้เคยพูดไว้ด้วยความมั่นใจ
วันหนึ่ง แม่ใหญ่ทองคำบ่นเรื่องที่บักโป้ทำงานไม่เรียบร้อย
"ไอ้โป้! มึงเฮ็ดหยังซะลวกๆ จั่งซี้! จักมื้อสิเฮ็ดให้มันดีๆ ได้?"
บักโป้ได้ยิน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
"แม่ใหญ่กะบ่นไปซั่นล่ะ... จริงๆ แล้วข้อยกะเฮ็ดดีที่สุดแล้ว" บักโป้คิดในใจ
เมื่อไอ้เถิกเตือนเรื่องที่บักโป้ชอบพูดเสียงดัง
"ไอ้โป้! มึงลดเสียงลงแหน่! รบกวนชาวบ้านชาวช่อง!"
บักโป้ก็แค่หัวเราะแห้งๆ
"กะเสียงข้อยมันเป็นจั่งซี้... บ่ได้ตั้งใจดอก" บักโป้ปัดๆ ไป
น้องไหมเองก็เคยบอกว่าบักโป้ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของเธอ
"อ้ายโป้... บางทีอ้ายกะฟังความคิดเห็นของข้อยบ้างกะดีเนาะ"
บักโป้ก็ยิ้มแล้วบอกว่า
"ความคิดของน้องกะดีนั่นล่ะ... แต่ความคิดของอ้ายกะบ่ได้แย่นะ"
บักโป้ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีข้อผิดพลาดที่ต้องแก้ไข จนกระทั่ง...
บทที่ ๒: กระจกที่ไม่สะท้อนความจริง
วันหนึ่ง บักโป้ไปเจอของเก่าในห้องเก็บของ เป็นกระจกบานเล็กๆ ที่ดูแปลกประหลาด ผิวของมันไม่ได้เรียบลื่นเหมือนกระจกทั่วไป แต่ดูขรุขระและมีลวดลายแปลกๆ
"กระจกอีหยังวะนี่? คือบ่เคยเห็น" บักโป้หยิบกระจกขึ้นมาส่อง
เมื่อบักโป้ส่องกระจก เขาก็เห็นภาพตัวเอง... แต่ภาพที่เห็นกลับดูดีกว่าตัวจริงมาก! ในกระจก บักโป้ดูหล่อเหลา ผิวพรรณผ่องใส รอยยิ้มมีเสน่ห์
"ว้าว! กระจกวิเศษติ๊นี่? ส่องแล้วหล่อขึ้นเป็นกองเลย!" บักโป้ดีใจมาก เขาเริ่มพกกระจกบานนี้ติดตัวตลอดเวลา และส่องมันทุกครั้งที่มีโอกาส
เมื่อบักโป้ส่องกระจกวิเศษ เขาก็จะเห็นแต่ภาพที่สวยงามของตัวเอง มันทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปอีก
"เบิ่งดู๋! บักโป้คนหล่อมาแล้ว!" บักโป้พูดกับตัวเองหน้ากระจก
แต่สิ่งที่บักโป้ไม่รู้ก็คือ... กระจกวิเศษบานนี้ไม่ได้สะท้อนความจริง มันสะท้อนแต่ภาพที่บิดเบือนและเข้าข้างตัวเอง
เมื่อบักโป้คุยกับคนอื่น เขาก็ยังคงพูดเสียงดังและไม่ค่อยฟังใคร แต่ในกระจก เขากลับเห็นตัวเองเป็นคนพูดจาไพเราะและเป็นผู้ฟังที่ดี
เมื่อบักโป้ทำงานผิดพลาด เขาก็ยังคงโทษคนอื่น แต่ในกระจก เขากลับเห็นตัวเองเป็นคนขยันและมีความรับผิดชอบ
กระจกวิเศษทำให้บักโป้มองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเลย
บทที่ ๓: คำพูดที่แทงใจ
วันหนึ่ง บักโป้ไปงานบุญด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดีและเป็นที่รักของทุกคน เพราะกระจกวิเศษสะท้อนภาพนั้นให้เขาเห็น
แต่สิ่งที่เขาได้ยินจากคนรอบข้างกลับแตกต่างออกไป
"ไอ้โป้! มึงคือเว้าเสียงดังแท้! คนอื่นเขากำลังฟังพระเทศน์!" ลุงข้างบ้านกระซิบด้วยความไม่พอใจ
"บักโป้! มึงเฮ็ดหยังซะเลอะเทอะ! บ่เคยมีความรับผิดชอบ!" ป้าคนหนึ่งบ่น
น้องไหมเองก็เดินหนีเมื่อบักโป้พยายามคุยด้วย
"น้องไหมเป็นหยังคือบ่คุยกับอ้าย?" บักโป้ถามด้วยความสงสัย
"อ้ายมันบ่เคยฟังความคิดเห็นของข้อยเลย! เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่!" น้องไหมตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
คำพูดเหล่านั้นแทงใจบักโป้อย่างจัง เขารู้สึกสับสนและเสียใจ ทำไมสิ่งที่เขาเห็นในกระจกถึงแตกต่างจากสิ่งที่คนอื่นมองเห็น?
บักโป้นั่งลงด้วยความท้อแท้ มองกระจกวิเศษในมือ
"ทำไม... ทำไมเจ้าคือโกหกข้อย?" บักโป้พึมพำกับกระจก
ทันใดนั้นเอง กระจกในมือบักโป้ก็สั่นเบาๆ และมีเสียงแว่วออกมา
"กระจกไม่ได้โกหกเจ้า... มันแค่สะท้อนสิ่งที่เจ้าอยากจะเห็น..."
บทที่ ๔: การมองเห็นตัวเองตามความเป็นจริง
บักโป้ตกใจกับเสียงที่มาจากกระจก
"เจ้า... เจ้าเว้าได้ติ๊?" บักโป้ถาม
"ข้าคือ 'กระจกใจ' ข้าจะสะท้อนภาพที่เจ้าอยากจะเชื่อ... ไม่ใช่ภาพที่เป็นจริง" กระจกตอบ
"แล้ว... ทำไม?" บักโป้ถามด้วยความสับสน
"เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่มักจะมองเห็นแต่ข้อดีของตัวเอง... และมองข้ามข้อผิดพลาด... การยอมรับความจริงนั้นเจ็บปวด... แต่เป็นก้าวแรกสู่การพัฒนาตนเอง" กระจกอธิบาย
บักโป้นั่งเงียบคิดทบทวนทุกสิ่งที่ผ่านมา เขานึกถึงคำพูดของแม่ใหญ่ทองคำ ของไอ้เถิก และของน้องไหม
เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาเปิดหูเปิดตา เขาเริ่มมองเห็นตัวเองในมุมมองที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่ภาพที่สวยงามและสมบูรณ์แบบอย่างที่กระจกวิเศษเคยสะท้อนให้เห็น
"แสดงว่า... ข้อยบ่ได้ดีอย่างที่ข้อยคิด..." บักโป้พึมพำด้วยความรู้สึกผิด
"ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ... ทุกคนมีข้อดีและข้อเสีย... สิ่งสำคัญคือการยอมรับความจริง... และพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น" กระจกกล่าว
บักโป้มองกระจกใจอีกครั้ง ภาพที่เห็นยังคงดูดี แต่ครั้งนี้บักโป้ไม่ได้หลงไปกับภาพนั้น เขามองเห็นเงาเล็กๆ ของข้อบกพร่องซ่อนอยู่ในภาพนั้นด้วย
บักโป้ตัดสินใจที่จะไม่พึ่งพากระจกใจอีกต่อไป เขาเก็บมันไว้ในที่ที่เขาจะสามารถมองเห็นมันได้เสมอ เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าหลงไปกับภาพลวงตา
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา บักโป้เริ่มใส่ใจกับคำติชมของคนอื่น เขาพยายามที่จะรับฟังและทำความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูด
เขาพยายามปรับปรุงตัวเองในส่วนที่เขารู้ว่ายังบกพร่อง เขาพูดจาเบาลง ทำงานให้เรียบร้อยขึ้น และรับฟังความคิดเห็นของน้องไหมมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของบักโป้ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีขึ้น แม่ใหญ่ทองคำเลิกบ่น ไอ้เถิกกลับมาแซวเขาอย่างสนุกสนาน และน้องไหมก็ยิ้มให้เขาอย่างจริงใจอีกครั้ง
บักโป้ได้เรียนรู้ว่าการมองเห็นข้อผิดพลาดของตนเอง ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นโอกาสที่จะทำให้เขาเติบโตและเป็นคนที่ดีขึ้น
และถึงแม้ว่าบักโป้จะยังคงเป็นบักโป้คนเดิม ที่อาจจะซื่อบ้าง เซ่อบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่พร้อมที่จะมองตัวเองตามความเป็นจริง และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
กระจกใจบานเล็กๆ ยังคงอยู่ในห้องเก็บของของบักโป้ มันไม่ได้สะท้อนภาพที่สวยงามอีกต่อไป แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญในการยอมรับตัวเอง และความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนที่ดีขึ้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: การมองเห็นข้อผิดพลาดของตนเองเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาตนเอง การยอมรับความจริง แม้ว่ามันจะเจ็บปวด เป็นประตูสู่การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และบางที... กระจกที่สะท้อนความจริง อาจจะไม่สวยงามเท่ากระจกที่เราสร้างภาพลวงตาขึ้นเองก็ได้!