นิทานอ้ายจำเรียนมานีมานะ
มานะมานีผจญภัยที่เขาหลังวัด
กาลครั้งหนึ่ง
ในหมู่บ้านที่มีความสงบสุขและอยู่ใกล้กับวัดเก่า มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มักจะชอบผจญภัยและสำรวจสถานที่ใหม่ๆ กลุ่มเด็กนั้นประกอบไปด้วย มานะ พี่ชายคนโต, มานี น้องสาว, และเพื่อนๆ ของพวกเขาคือ ชูใจ, ปิติ, วีระ, ดวงแก้ว, และ เพชร
วันหนึ่ง มานะและมานีรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียนและการเล่นที่บ้าน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะออกไปผจญภัยที่เขาหลังวัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยป่าไม้และภูเขาเล็กๆ ที่เพื่อนๆ มักจะพูดถึง แต่ยังไม่มีใครกล้าไปสำรวจ
อ้ายจำเรียนผู้นำทาง
มานะหันไปหาคุณลุง อ้ายจำเรียน, ผู้รู้จักทุกสิ่งในหมู่บ้านและที่ตั้งของภูเขาหลังวัด อ้ายจำเรียนเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีและเต็มไปด้วยความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อมานะขอให้เขาช่วยนำทางไปที่เขาหลังวัด อ้ายจำเรียนยินดีอย่างยิ่งและสอนเด็กๆ ให้รู้จักกับการเดินทางที่ปลอดภัยในป่า
การเดินทางเริ่มต้น
เช้าวันหนึ่ง พวกเขามีนัดกันที่ลานวัด อ้ายจำเรียนเป็นผู้นำทาง เด็กๆ ต่างตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง พวกเขาเดินตามทางที่ถูกทำให้ชัดเจนโดยอ้ายจำเรียน ระหว่างทางอ้ายจำเรียนเล่าเรื่องราวต่างๆ ของป่าและภูเขาให้ฟัง เช่น เรื่องของต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่าและสัตว์ป่าอย่างกระรอกและกวางที่พวกเขาจะพบเจอ
การผจญภัยในป่า
เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปในป่า พวกเขาก็พบกับสิ่งที่น่าสนใจมากมาย บางครั้งพวกเขาก็หยุดพักเพื่อดูรอยเท้าสัตว์หรือเก็บดอกไม้ที่สวยงาม ขณะที่พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ได้พบกับแม่น้ำเล็กๆ ที่ไหลผ่านป่า ทำให้พวกเขาหยุดเพื่อเล่นน้ำและดื่มน้ำใสๆ จากแม่น้ำที่ไหลสะอาด
การเรียนรู้จากการผจญภัย
ระหว่างการเดินทาง อ้ายจำเรียนได้สอนเด็กๆ เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น การดูทิศทางโดยใช้ต้นไม้และปีกนก การระมัดระวังสัตว์ป่า และการเคารพธรรมชาติ เด็กๆ เริ่มเข้าใจว่าการผจญภัยไม่ใช่แค่การสนุกสนาน แต่ยังต้องระมัดระวังและให้ความเคารพต่อสิ่งแวดล้อมที่พวกเขากำลังสำรวจ
การกลับบ้าน
เมื่อถึงช่วงเย็น พวกเขาเดินทางกลับมายังหมู่บ้าน เด็กๆ รู้สึกมีความสุขและเต็มไปด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเขาได้เรียนรู้มากมายจากการผจญภัยครั้งนี้และยังได้สร้างความทรงจำที่ดีร่วมกัน
คติสอนใจ:
“การผจญภัยนั้นน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน แต่เราต้องรู้จักการเตรียมตัวและเคารพธรรมชาติ เพื่อให้การผจญภัยนั้นเป็นประสบการณ์ที่ดีและปลอดภัย
เช้าวันใหม่
ที่บ้านของปิติ เขากำลังนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่ยายกำลังเตรียมหยวกกล้วยสำหรับหมู ยายเรียกปิติให้มาช่วย
“ปิติ มาช่วยยายหั่นหยวกกล้วยให้หมูกินหน่อยสิลูก”
ปิติขานรับด้วยความขี้เล่น “ได้ครับยาย!” เขาหยิบมีดและหยวกกล้วยมานั่งข้าง ๆ
การเล่นสนุกของปิติ
ขณะหั่นหยวกกล้วย ปิติคิดจะหยอกยายเล่น จึงแกล้งร้องออกมาดัง ๆ “โอ๊ย! ยาย มีดบาดมือผม!”
ยายหันมาด้วยความตกใจ “ปิติ! เป็นอะไรมากไหมลูก ไหนยายดูสิ!”
แต่ปิติเพียงแค่สบัดมือไปมาแล้วหัวเราะ “ฮ่า ๆ ไม่ได้บาดจริงหรอกครับยาย แค่ล้อเล่น!”
ยายสอนใจด้วยนิทาน
ยายถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ปิติ การโกหกแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลยลูก ถ้าเจ้าเล่นสนุกแบบนี้บ่อย ๆ วันหนึ่งถ้าเจ้าเจ็บจริง ๆ ไม่มีใครจะเชื่อเจ้า ยายจะเล่าเรื่อง เด็กเลี้ยงแกะ ให้เจ้าฟังเป็นบทเรียน”
นิทานเด็กเลี้ยงแกะ
ยายเริ่มเล่า “กาลครั้งหนึ่ง มีเด็กชายคนหนึ่งทำหน้าที่เลี้ยงแกะในหมู่บ้าน เขามักจะนั่งเฝ้าแกะอยู่บนเนินเขา ซึ่งเป็นงานที่เงียบเหงามาก
วันหนึ่ง เด็กชายคิดสนุกจึงตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย! หมาป่ามากินแกะ!’ ชาวบ้านรีบวิ่งขึ้นมาพร้อมไม้ แต่เมื่อมาถึงก็พบว่าไม่มีหมาป่า และเด็กชายหัวเราะเยาะพวกเขา
เขาทำแบบนี้หลายครั้ง จนชาวบ้านเริ่มเบื่อและไม่สนใจ วันหนึ่ง หมาป่ามาจริง ๆ เด็กชายตะโกนสุดเสียง แต่ไม่มีใครเชื่อเขา หมาป่าก็เลยกินแกะของเขาจนหมด”
ปิติได้บทเรียน
เมื่อยายเล่าจบ ปิตินั่งเงียบด้วยความสำนึกผิด เขากล่าวกับยายว่า “ผมเข้าใจแล้วครับยาย การโกหกไม่ใช่เรื่องสนุก และอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมขอโทษนะครับ”
ยายยิ้มและลูบหัวปิติ “ดีมากลูก จำไว้นะ ความซื่อสัตย์สำคัญที่สุด ยายหวังว่าเจ้าจะไม่โกหกอีก”
หลังจากนั้น ปิติก็ทำงานช่วยยายอย่างขยันขันแข็ง และไม่เคยแกล้งหรือโกหกยายอีกเลย
คติสอนใจ:
“การพูดความจริงเป็นพื้นฐานของความเชื่อใจ หากเราโกหกบ่อย ๆ แม้พูดความจริง คนอื่นก็อาจไม่เชื่อ”
นิทานเรื่องมานะ มานี ตอนเจ้าจ๋อจอมซน
วันหนึ่ง ปิติเดินไปที่บ้านของวีระ เขาตั้งใจจะไปเล่นกับวีระและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ ขณะเดินมาถึงบ้าน หัวเข่าของปิติก็มีแผลถลอกจากการล้มระหว่างทาง แต่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ที่หน้าบ้านของวีระ มีลิงจ๋อแสนซนชื่อว่า เจ้าจ๋อ มันเป็นลิงของลุงวีระที่ทั้งฉลาดและขี้เล่น เมื่อเห็นปิติมา เจ้าจ๋อก็ร้องเสียงดัง “เจี๊ยก ๆ!” เพื่อเรียกให้วีระรู้ว่ามีแขกมาถึง
การต้อนรับของลุงวีระ
ไม่นาน ลุงวีระก็เดินออกมาพร้อมกับหิ้วพวงองุ่นในมือ เขาเห็นปิติยืนยิ้มอยู่ที่หน้าบ้าน
“อ้าว ปิติ! มาแล้วเหรอ หัวเข่าถลอกเลยนี่ ไปล้มที่ไหนมาล่ะ” ลุงวีระถามด้วยความเป็นห่วง
“ผมล้มตอนเดินมาครับลุง ไม่เป็นอะไรมาก” ปิติตอบพร้อมกับยกมือไหว้ “สวัสดีครับลุง”
ลุงวีระส่งยิ้มให้พร้อมกับยื่นองุ่นให้ปิติ “มากินองุ่นก่อนลูก พักให้หายเหนื่อย”
คำขอของปิติ
หลังจากนั่งคุยกันสักพัก ปิติก็พูดขึ้นว่า “ลุงครับ ผมอยากเลี้ยงม้าสักตัว ลุงช่วยหาลูกม้าให้ผมเลี้ยงบ้างได้ไหมครับ?”
ลุงวีระหัวเราะเบา ๆ “ได้สิ แต่เลี้ยงม้าไม่ง่ายนะปิติ ต้องอดทนและขยัน ถ้าพร้อมลุงจะช่วยหาให้”
ปิติยิ้มด้วยความดีใจ “ขอบคุณมากครับลุง!”
เจ้าจ๋อจอมซน
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกัน เจ้าจ๋อก็แอบปีนขึ้นไปบนโต๊ะและหยิบองุ่นมากิน ลุงวีระหันมาเห็นพอดีจึงพูดขึ้นว่า “เอ้า เจ้าจ๋อ! อย่าดื้อนักสิ แล้วก็อย่าไปชนชินักนะ!”
เจ้าจ๋อทำหน้าตาเหมือนรู้สึกผิด ก่อนจะลงมาจากโต๊ะแล้วนั่งเล่นเงียบ ๆ ข้างลุงวีระ ปิติหัวเราะ “เจ้าจ๋อนี่ขี้เล่นจริง ๆ นะครับลุง”
ความตั้งใจของปิติ
หลังจากวันนั้น ปิติตั้งใจเรียนรู้การเลี้ยงสัตว์จากลุงวีระ เขาไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้เรื่องม้า แต่ยังได้เห็นความฉลาดและความซนของเจ้าจ๋ออีกด้วย
คติสอนใจ:
“สัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดี แต่การเลี้ยงดูพวกมันต้องอาศัยความรัก ความรับผิดชอบ และความอดทน”
นิทานมานะ มานี ตอนนกเขาเอ๋ย
บ่ายวันหนึ่งที่บ้านลุงวีระ
ปิติมาเยี่ยมบ้านลุงวีระและช่วยลุงทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งเลี้ยงเจ้าจ๋อและช่วยรดน้ำต้นไม้ หลังจากวันอันสนุกสนาน ปิติก็เตรียมตัวจะลาลุงวีระกลับบ้าน
ขณะที่ปิติกำลังพูดลาลุงวีระ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงเพลงกล่อมเด็กดังแว่วมา เสียงนั้นนุ่มนวลและอบอุ่น เป็นเสียงของภรรยาลุงกำนันบ้านข้าง ๆ เธอกำลังกล่อมลูกน้อยให้นอน
“นกเขาเถื่อนเอ๋ย เจ้ามาเลี้ยงน้อง
แม่จะไปขายของ กลับมาจะให้กินข้าว
กินแล้วเจ้าจงนอน นอนแล้วฝันดีเถิดเจ้า”
ความสงสัยของปิติ
ปิติหันไปถามวีระด้วยความสงสัย “เสียงใครร้องเพลงไพเราะจังครับพี่วีระ?”
วีระยิ้มและตอบว่า “เสียงป้าภรรยาลุงกำนันน่ะ ป้าแกชอบร้องกลอนกล่อมลูกเวลาน้องยังไม่หลับ เป็นวิธีที่แกใช้กล่อมให้ลูกสงบลง”
“เพราะจังเลยครับ ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ” ปิติพูดพลางตั้งใจฟังกลอนนั้นจนจบ
บทสนทนาเรื่องกลอนกล่อมลูก
ลุงวีระเล่าให้ปิติฟังว่า “สมัยก่อน ผู้ใหญ่มักใช้กลอนกล่อมเด็กแบบนี้แทนการเล่านิทาน มันเป็นวัฒนธรรมที่ช่วยปลูกฝังความอ่อนโยนให้กับเด็ก ๆ ฟังแล้วหลับง่าย แถมยังช่วยให้จิตใจสงบ”
ปิติพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “ผมอยากให้แม่ร้องกลอนแบบนี้ให้ผมฟังบ้างจังเลยครับ”
วีระหัวเราะ “ไว้ลองไปขอแม่ดูสิ แต่ถ้าไม่ได้ ลุงจะสอนปิติร้องกลอนกล่อมเด็กเอง”
บทเรียนจากเสียงกล่อม
เมื่อปิติกลับถึงบ้าน เขาเล่าเรื่องที่ได้ยินกลอนกล่อมเด็กให้มานีและพ่อแม่ฟัง ทั้งครอบครัวนั่งฟังอย่างตั้งใจ และพ่อของปิติก็เล่าเพิ่มเติมถึงความสำคัญของเพลงกล่อมเด็กในวิถีชีวิตแบบไทย
คติสอนใจ:
“เสียงเพลงและกลอนกล่อมเด็กไม่เพียงแต่ช่วยให้หลับง่าย แต่ยังเป็นมรดกวัฒนธรรมที่สืบทอดความรักและความอ่อนโยนจากรุ่นสู่รุ่น”
นิทานเรื่องมานะ มานี ตอนยาเสพติด
เหตุการณ์ระหว่างทาง
หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่งมานีตั้งใจจะไปเยี่ยมบ้านชูใจ เธอเดินผ่านถนนสายเล็กที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยต้นไม้ ทันใดนั้น มานีเห็นชายแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ริมทาง เขามองมานีด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ และเรียกเธอ
“หนู มานี่สิลุงมีขนมมาให้ กินแล้วสนุกมากเลยนะ” ชายคนนั้นพูดพลางยื่นขนมบางอย่างให้
มานีรู้สึกไม่ไว้วางใจ เธอสังเกตเห็นท่าทางของชายคนนั้นที่ดูน่ากลัว เธอรีบปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่กิน” จากนั้นมานีรีบวิ่งหนีไปยังบ้านชูใจทันที หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกลัว
เล่าเหตุการณ์ให้ครอบครัวชูใจฟัง
เมื่อถึงบ้านชูใจ มานียังคงตกใจและตัวสั่น ชูใจและพ่อแม่ของเธอรีบออกมาดู “มานี เป็นอะไรไปลูก หน้าซีดเชียว!”
มานีสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ครอบครัวของชูใจฟังอย่างละเอียด “ระหว่างทางมาบ้านพวกคุณ มีชายแปลกหน้ายื่นขนมให้หนู เขาบอกว่ากินแล้วสนุก แต่หนูกลัวมากเลยรีบวิ่งมาที่นี่”
พ่อของชูใจฟังแล้วขมวดคิ้วด้วยความกังวล “ดีแล้วที่หนูไม่รับของจากคนแปลกหน้า เรื่องนี้อันตรายมาก โดยเฉพาะถ้าขนมนั้นอาจเป็นยาเสพติด”
คำเตือนของผู้ใหญ่
แม่ของชูใจพูดเสริม “มานี ลูกทำถูกแล้วที่รีบวิ่งหนีมา ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก อย่าลืมบอกผู้ใหญ่ทันทีนะลูก ยาเสพติดไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพ ยังทำให้ชีวิตของเราพังทลายได้ด้วย”
ชูใจจับมือมานีอย่างให้กำลังใจ “เธอเก่งมากเลยที่กล้าหนีมา มานีจำไว้นะ ถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ อย่าไปยุ่งเด็ดขาด”
บทเรียนสำคัญ
หลังจากนั้น พ่อของชูใจได้พามานีไปแจ้งเหตุการณ์ที่สถานีตำรวจ ตำรวจสัญญาว่าจะดูแลพื้นที่ให้ปลอดภัยมากขึ้น และให้คำแนะนำกับชาวบ้านเกี่ยวกับการระวังตัวจากยาเสพติด
มานีกลับบ้านพร้อมบทเรียนที่สำคัญ เธอเล่าเรื่องนี้ให้มานะและครอบครัวฟัง เพื่อเตือนทุกคนให้ระวังตัว
คติสอนใจ:
“อย่ารับของจากคนแปลกหน้า และควรแจ้งผู้ใหญ่ทันทีเมื่อพบเหตุการณ์ผิดปกติ เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น”
นิทานเรื่องมานะ มานี ตอนครอบครัวของเพชรยากจน
หลังเลิกเรียน
ในเย็นวันหนึ่ง หลังเลิกเรียน วีระแยกทางกลับบ้านคนเดียว เขาเดินผ่านถนนสายเล็กที่นำไปยังสวนของลุงวีระ ระหว่างทาง วีระเหลือบไปเห็นกระต๊อบเล็ก ๆ ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นข้างทาง
“นี่มันอะไรนะ? ไม่เคยเห็นกระต๊อบตรงนี้มาก่อน” วีระคิดในใจด้วยความสงสัย
ครอบครัวของเพชร
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ วีระก็พบว่าในกระต๊อบนั้นคือครอบครัวของเพชร เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา เพชรกำลังช่วยพ่อแม่ตัดไม้และเผาถ่านขายเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เพชรมีน้องเล็ก ๆ อีกสามคน รวมทั้งหมดในครอบครัวมีห้าชีวิต
“เพชร นี่ครอบครัวเธอเหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?” วีระถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
เพชรตอบด้วยใบหน้าหม่นหมอง “ใช่ วีระ บ้านเราไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พ่อกับแม่เลยต้องมาทำกระต๊อบข้างทางใกล้ป่า เราช่วยกันตัดไม้แล้วเผาถ่านขายเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว”
วีระหาทางช่วยเหลือ
วีระกลับมาบ้านพร้อมกับความรู้สึกหนักอึ้ง เขาเล่าเรื่องของครอบครัวเพชรให้ลุงวีระฟัง ลุงวีระได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ “เด็ก ๆ ในวัยเรียนควรได้เรียนหนังสือ ไม่ใช่ต้องลำบากแบบนี้ เราควรช่วยเหลือพวกเขา”
ในวันถัดมา ลุงวีระและวีระไปพบครอบครัวของเพชร ลุงวีระพูดกับพ่อแม่ของเพชรด้วยความจริงใจ “พวกคุณย้ายมาอยู่ที่สวนของผมได้นะ ผมมีที่ว่างเหลืออยู่ คุณสามารถช่วยงานในสวนได้ ผมจะจ้างงานให้ เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้ไม่ต้องลำบากมากนัก”
แสงสว่างในความลำบาก
พ่อแม่ของเพชรน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณมากครับนาย เราไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี”
ลุงวีระยิ้ม “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เราเป็นคนไทยด้วยกัน ควรช่วยเหลือกันในยามลำบาก”
ชีวิตใหม่ของครอบครัวเพชร
หลังจากนั้น ครอบครัวของเพชรย้ายมาอยู่ในพื้นที่สวนของลุงวีระ พ่อแม่ของเพชรช่วยดูแลสวนผลไม้ ส่วนเพชรและน้อง ๆ ได้มีเวลาไปโรงเรียนอย่างเต็มที่ ความช่วยเหลือจากลุงวีระไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตครอบครัวของเพชร แต่ยังสอนทุกคนในหมู่บ้านถึงคุณค่าของการแบ่งปันและเมตตาต่อกัน
คติสอนใจ:
“การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในยามลำบาก เป็นสิ่งที่เติมเต็มความสุขในหัวใจทั้งผู้ให้และผู้รับ”
นิทานเรื่องมานะ มานี ตอนดูไลฟ์สดอ้ายจำเรียน
เย็นวันสบาย ๆ
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน มานะ มานี วีระ ปิติ เพชร ดวงแก้ว สมคิด ชูใจ และเพื่อน ๆ อีกหลายคนได้นัดกันมานั่งเล่นที่บ้านของมานะ พวกเขาตัดสินใจเปิดไลฟ์สดของอ้ายจำเรียน ซึ่งเป็นคนดังในหมู่บ้านที่ชอบอ่านนิทานให้เด็ก ๆ ฟัง
นิทานเรื่องปลาบู่ทอง
วันนี้อ้ายจำเรียนเลือกอ่านนิทานเรื่อง ปลาบู่ทอง เสียงของอ้ายจำเรียนมีจังหวะน่าฟัง และน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปตามตัวละครทำให้ทุกคนตั้งใจฟังอย่างสนุกสนาน
มีเศรษฐีชื่อทารก (ทาระกะ) ผู้มีอาชีพจับปลามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนคนที่สองชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่
วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน ทว่าขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เศรษฐีทารกเกิดบันดาลโทสะจึงฟาดนางขนิษฐาจนตายและทิ้งศพลงคลอง
เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยก็ถามหาแม่ เศรษฐีจึงตอบไปว่าแม่ของเอื้อยได้หนีตามผู้ชายไป และจะไม่กลับมาบ้านอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐีผู้เป็นแม่เลี้ยงของเอื้อย และอี่กับอ้ายน้องสาวทั้งสองก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำโดยที่เศรษฐีทารกไม่รับรู้และไม่สนใจ
เอื้อยคิดถึงแม่มากจึงมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ และได้พบกับปลาบู่ทองซึ่งเป็นนางขนิษฐากลับชาติมาเกิด เมื่อเอื้อยรู้ว่าปลาบู่ทองเป็นแม่ก็ได้นำข้าวสวยมาโปรยให้ปลาบู่ทองกิน และมาปรับทุกข์ให้ปลาบู่ทองฟังทุกวัน
นางขนิษฐีและลูกสาวเห็นเอื้อยมีความสุขขึ้น เมื่อถูกกลั่นแกล้งก็อดทนไม่ปริปากบ่นจึงสืบจนพบว่า นางขนิษฐาได้มาเกิดเป็นปลาบู่ทอง และได้พบกับเอื้อยทุกวัน ดังนั้นเมื่อเอื้อยกำลังทำงานนางขนิษฐีก็จับปลาบู่ทองมาทำอาหารและขอดเกล็ดทิ้งไว้ในครัว
เอื้อยได้พบเกล็ดปลาบู่ทองก็เศร้าใจเป็นอย่างมาก นำเกล็ดไปฝังดินและอธิษฐานขอให้แม่มาเกิดเป็นต้นมะเขือ เอื้อยมารดน้ำให้ต้นมะเขือทุกวันจนงอกงาม เมื่อขนิษฐีทราบเรื่องเข้าก็โค่นต้นมะเขือ และนำลูกมะเขือไปจิ้มน้ำพริกกิน
เอื้อยเก็บเมล็ดมะเขือที่เหลือไปฝังดินและอธิษฐานให้แม่ไปเกิดเป็นต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองในป่า และไม่ให้ผู้ใดสามารถโค่น ทำลาย หรือเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้
วันหนึ่งพระเจ้าพรหมทัตเสด็จประพาสป่าได้พบกับต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง โปรดให้นำเข้าไปปลูกในวัง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถเคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้ พระเจ้าพรหมทัตจึงประกาศว่าผู้ใดที่เคลื่อนย้ายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้จะให้รางวัลอย่างงาม
ขนิษฐีและอ้ายกับอี่เข้าร่วมลองถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองด้วยแต่ไม่สำเร็จ เอื้อยขอลองบ้างและอธิษฐานจิตบอกแม่ว่าขอย้ายแม่เข้าไปปลูกในวัง เอื้อยจึงถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองได้สำเร็จ
พระเจ้าพรหมทัตถูกชะตาเอื้อยจึงชวนเข้าไปอยู่ในวังและแต่งตั้งให้เอื้อยเป็นพระมเหสี ฝ่ายขนิษฐีและลูกสาวอิจฉาเอื้อยจึงส่งจดหมายไปบอกเอื้อยว่าเศรษฐีทารกป่วยหนักขอให้เอื้อยกลับมาเยี่ยมที่บ้าน
เมื่อเอื้อยกลับมาบ้าน นางขนิษฐีก็ได้แกล้งนำกระทะน้ำเดือดไปวางไว้ใต้ไม้กระดานเรือน และทำกระดานกลไว้ เมื่อเอื้อยเหยียบกระดานกลก็ตกลงในหม้อน้ำเดือดจนถึงแก่ความตาย ขนิษฐีให้อ้ายปลอมตัวเป็นเอื้อยและเดินทางกลับไปยังวังของพระเจ้าพรหมทัต
เอื้อยได้ไปเกิดใหม่เป็นนกแขกเต้า เมื่อเกิดใหม่แล้วก็บินกลับเข้าไปในพระราชวัง พระเจ้าพรหมทัตเห็นนกแขกเต้าแสนรู้ ไม่รู้ว่าเป็นเอื้อยกลับชาติมาเกิดก็เลี้ยงไว้ใกล้ตัว อ้ายเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ สั่งคนครัวให้นำนกแขกเต้าไปถอนขนและต้มกิน
แม่ครัวถอนขนนกแขกเต้าและวางทิ้งไว้บนโต๊ะ นกแขกเต้าจึงกระเสือกกระสนหลบหนีเข้าไปอยู่ในรูหนู มีหนูช่วยดูและจนขนขึ้นเป็นปกติ แล้วเอื้อยก็บินเข้าป่าไปจนเจอกับพระฤๅษี
พระฤๅษีตรวจดูด้วยญานพบว่านกแขกเต้าคือเอื้อยกลับชาติมาเกิดจึงเสกให้เป็นคนตามเดิม และวาดรูปเด็กเสกให้มีชีวิตเพื่อให้เป็นลูกของเอื้อย เมื่อเด็กนั้นโตขึ้นก็ขอเอื้อยเดินทางไปหาบิดา เอื้อยจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้บุตรชายฟังร้อยพวงมาลัยเพื่อให้บุตรชายนำไปให้พระเจ้าพรหมทัต
เมื่อพระเจ้าพรหมทัตได้พบกับบุตรชายของเอื้อยและพวงมาลัย ก็ขอให้เด็กชายเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้มาลัยมาอย่างไร เด็กชายก็เล่าตามที่เอื้อยเล่าให้ฟัง เมื่อทราบเรื่องทั้งหมดแล้วพระเจ้าพรหมทัตก็สั่งประหารชีวิตอ้าย อี่ และขนิษฐี และไปรับเอื้อยเพื่อให้กลับมาครองบัลลังก์ร่วมกันอีกครั้ง
“โอ้โห เอื่อยถูกแม่เลี้ยงกับน้องสาวใจร้ายแกล้งขนาดนี้เลยเหรอ” ดวงแก้วพูดขึ้นพร้อมทำหน้าสงสาร
“ใช่ ๆ ฉันสงสารปลาบู่จัง ต้องมาคอยช่วยเอื่อยตลอด” ชูใจพูดเสริมพลางถอนหายใจ
“แต่บางตอนก็ฮานะ อย่างตอนที่แม่เลี้ยงกับน้องสาวทะเลาะกันเพราะอยากได้ของวิเศษจากปลาบู่” สมคิดหัวเราะเสียงดัง
อ้ายจำเรียนเล่าอย่างออกรส
อ้ายจำเรียนอ่านนิทานด้วยความตั้งใจ มีทั้งการเล่าเรื่องที่จริงจังในตอนเศร้า และการพูดเสียงตลกในตอนขำขัน เพื่อน ๆ ทุกคนฟังไปหัวเราะไป บางครั้งก็เผลอเช็ดน้ำตาด้วยความสงสารตัวละครในเรื่อง
“อ้ายจำเรียนเล่านิทานเก่งจังเลย!” มานีพูดด้วยความชื่นชม
“ใช่เลย สนุกมาก แถมยังสอนใจด้วย” วีระเสริม
ความประทับใจจากนิทาน
หลังไลฟ์สดจบลง เพื่อน ๆ ก็พูดคุยกันถึงบทเรียนที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ “ปลาบู่ทองสอนให้เราเห็นว่าความกตัญญูและความอดทนจะทำให้เราเอาชนะอุปสรรคได้ แม้จะยากลำบากแค่ไหน” ปิติพูดขึ้น
“ใช่เลย! แล้วก็ไม่ควรทำร้ายคนอื่น เพราะผลกรรมจะย้อนกลับมาหาเรา” เพชรกล่าวเสริม
คำขอบคุณถึงอ้ายจำเรียน
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับอ้ายจำเรียน เพื่อน ๆ ทุกคนส่งข้อความในไลฟ์สดว่า “ขอบคุณอ้ายจำเรียน สนุกมากเลย!” และยังช่วยกันมอบของขวัญในรูปแบบออนไลน์ เช่น หัวใจ ส้ม และดอกกุหลาบ
มานะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต้องรอดูไลฟ์สดครั้งต่อไปของอ้ายจำเรียนกันอีกนะ สนุกจริง ๆ!”
คติสอนใจ:
“นิทานไม่เพียงแต่ให้ความสนุก แต่ยังให้ข้อคิดที่ช่วยหล่อหลอมความคิดและจิตใจให้เราเป็นคนดี”
นิทานเรื่องมานะ มานี ตอนพิชิตยอดภูสอยดาว
การเดินทางครั้งสำคัญ
เช้าวันหนึ่ง มานะ มานี ปิติ ชูใจ สมคิด ดวงแก้ว และเพชร ชวนกันออกเดินทางไปพิชิตยอด ภูสอยดาว ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่ลือชื่อเรื่องความสวยงามของลานสนและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
“ภูสอยดาวนี่สวยมากเลยนะ ได้ยินว่ามีดอกไม้งามเต็มลานสนเลย!” มานีพูดด้วยความตื่นเต้น
“แต่เราต้องปีนขึ้นไปก่อนนะ ทางชันอยู่นะเพื่อน ๆ” ปิติเตือน
“ไม่เป็นไร เรามาเพื่อผจญภัย!” สมคิดพูดพร้อมหัวเราะ
การพบอ้ายจำเรียนบนลานสน
เมื่อพวกเขาเดินทางถึงลานสน ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายและวิวที่งดงาม มานะกับเพื่อน ๆ เหลือบไปเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังนั่งล้อมวงรอบชายคนหนึ่ง
“นั่นใครน่ะ? ทำไมนักท่องเที่ยวดูตั้งใจฟังจัง?” ดวงแก้วถาม
ทุกคนเดินเข้าไปใกล้ และพบว่า อ้ายจำเรียน กำลังอ่านนิทานให้กลุ่มนักท่องเที่ยวฟัง เสียงของอ้ายจำเรียนกังวานและเต็มไปด้วยอารมณ์ ทุกคนฟังอย่างเพลิดเพลินเล่านิทานดังนี้
หัวล้านนอกครู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งชื่อว่า ลุงเลี่ยม เขาเป็นชายวัยกลางคนที่หัวล้านและมีนิสัยชอบอวดตัวว่าเก่งในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องที่เขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน ชาวบ้านจึงแอบเรียกเขาว่า “หัวล้านนอกครู”
ลุงเลี่ยมผู้มั่นใจ
วันหนึ่ง หมู่บ้านจัดการแข่งขันทำว่าว ซึ่งเป็นประเพณีที่ทุกคนในหมู่บ้านรอคอย ลุงเลี่ยมไม่เคยทำว่าวมาก่อน แต่เขายืนประกาศเสียงดังกลางตลาดว่า “เรื่องแค่นี้ง่ายนิดเดียว ฉันทำได้แน่นอน ใครจะมาสู้ลุงเลี่ยมคนนี้ได้!”
ชาวบ้านได้ยินต่างพากันแอบขำ “ลุงเลี่ยมจะทำว่าวได้จริงเหรอ?”
การทำว่าวของลุงเลี่ยม
เมื่อถึงวันแข่ง ลุงเลี่ยมรีบนำไม้ไผ่และกระดาษมาทำว่าวของเขาเอง เขาไม่ฟังคำแนะนำของใครเลย แถมยังพูดว่า “ฉันไม่ต้องเรียนจากใครหรอก ฉันทำได้ดีกว่าพวกเธออยู่แล้ว!”
เมื่อถึงเวลาทดลองบินว่าวของลุงเลี่ยม ว่าวของเขาบินขึ้นไปได้เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะตกลงมาหักกลาง ชาวบ้านที่มองอยู่ต่างพากันหัวเราะ
บทเรียนที่ลุงเลี่ยมได้รับ
หลังการแข่งขันสิ้นสุด ลุงเลี่ยมเดินกลับบ้านด้วยความอาย ระหว่างทางเขาเจอลุงคำ ผู้เฒ่าที่มีฝีมือการทำว่าวดีที่สุดในหมู่บ้าน ลุงคำเดินเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เลี่ยมเอ้ย คนเราถ้าอยากเก่งต้องเรียนรู้ก่อนนะ ไม่ใช่คิดว่าตัวเองรู้ไปหมดทุกอย่าง เพราะความรู้นอกครูนั้น มันมักพาเราล้มเหลว”
ลุงเลี่ยมนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วลุงคำ ครั้งหน้า ผมจะตั้งใจเรียนรู้ให้ดีก่อนทำอะไรครับ”
คติสอนใจ:
“อย่าหยิ่งผยองในสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะการเรียนรู้คือหนทางสู่ความสำเร็จ”
ลูกกตัญญู
กาลครั้งหนึ่ง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีสองพี่น้องชื่อว่า พี่ใหญ่ และ น้องเล็ก พวกเขาเติบโตมาจากครอบครัวยากจน แต่พ่อแม่ได้สอนให้พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความซื่อสัตย์และกตัญญู
ความแตกต่างของพี่น้อง
เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าและเริ่มล้มป่วย พี่ใหญ่กลับคิดว่า “การเลี้ยงดูพ่อแม่เป็นภาระที่หนักหนา ข้าต้องทำงานหาเงินให้ตัวเองดีกว่า” เขาทิ้งพ่อแม่ให้อยู่เพียงลำพังในบ้านเก่า ๆ โดยไม่เคยกลับมาดูแล
ส่วนน้องเล็ก แม้จะยากจน แต่เขาตั้งใจทำงานหนักทุกวัน และนำรายได้เพียงเล็กน้อยที่มีมาเลี้ยงดูพ่อแม่ เขาหุงหาอาหาร ป้อนข้าว และดูแลทุกอย่างด้วยความรัก
พรจากพ่อแม่
คืนหนึ่ง ขณะที่น้องเล็กกำลังนวดขาพ่อแม่อยู่ พ่อแม่พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าช่างเป็นลูกที่กตัญญูยิ่งนัก พรของพ่อแม่จะคุ้มครองเจ้า ให้เจ้ามีความสุขและรุ่งเรือง”
ชีวิตที่เปลี่ยนไป
ไม่นานหลังจากนั้น โอกาสดี ๆ ก็เริ่มเข้ามาในชีวิตของน้องเล็ก มีผู้คนว่าจ้างเขาให้ทำงานจนเขาสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินเล็ก ๆ และปลูกพืชผลขาย รายได้ของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากคนที่เคยยากจน กลับกลายเป็นคนร่ำรวย
ชีวิตของพี่ใหญ่
ส่วนพี่ใหญ่ที่เคยละทิ้งพ่อแม่ เขาใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวและฟุ่มเฟือย ทรัพย์สินที่มีค่อย ๆ หมดไป เพราะเขาไม่เคยวางแผนชีวิตอย่างรอบคอบ สุดท้ายเขากลายเป็นคนยากจน และไม่มีใครยื่นมือช่วยเหลือ
การพบกันอีกครั้ง
วันหนึ่ง พี่ใหญ่ที่ยากจนและหิวโหยเดินทางกลับมาหาน้องเล็ก เมื่อเห็นน้องเล็กที่ประสบความสำเร็จ เขารู้สึกอิจฉาและเสียใจในเวลาเดียวกัน
“ทำไมเจ้าถึงร่ำรวย ทั้งที่ข้าก็เคยมีมากกว่าเจ้า?” พี่ใหญ่ถาม
น้องเล็กตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “เพราะข้าเชื่อในพรของพ่อแม่ และรู้ว่าความกตัญญูเป็นรากฐานของความสุขและความเจริญ”
คติสอนใจ:
“ความกตัญญูต่อพ่อแม่คือกุญแจสู่ความสำเร็จในชีวิต ส่วนผู้ที่ละเลยบุญคุณย่อมพบกับความยากลำบาก”
สามีผู้ชื่อสัตย์ ภรรยานอกใจมีชู้
กาลครั้งหนึ่ง
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะมีชีวิตที่สุขสบาย สามีชื่อว่า สุวัฒน์ และภรรยาชื่อว่า ชลธิชา ทั้งคู่แต่งงานกันมาหลายปีแล้ว และมีลูกชายหนึ่งคนที่น่ารัก ชื่อว่า ชนินทร์
สุวัฒน์เป็นชายที่ขยันทำงานและมีความซื่อสัตย์ต่อภรรยามาก เขาทำงานหนักทุกวันเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เขารักและให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างมาก เขามักจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของชลธิชา แม้บางครั้งเขาจะเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงของภรรยา
แต่ในขณะที่สุวัฒน์ทำงานหนักอยู่ที่ทุ่งนา ชลธิชากลับเริ่มรู้สึกเหงาและไม่พอใจในชีวิตที่ซ้ำซาก เธอพบกับ สุเมธ หนุ่มหล่อจากเมืองใหญ่ที่มาทำธุรกิจในหมู่บ้าน ชลธิชาเริ่มมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับสุเมธ โดยไม่ให้สุวัฒน์รู้ตัว
การโกหกและการปิดบัง
ทุกครั้งที่สุวัฒน์กลับมาบ้าน เขาจะถามภรรยาเกี่ยวกับวันที่เธอใช้เวลาอยู่ที่บ้าน แต่ชลธิชาก็จะโกหกว่าเธอทำอาหารบ้าน หรือไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน “วันนี้คุณไปทำอะไรมาเหรอ ชลธิชา?” สุวัฒน์ถามด้วยความเป็นห่วง
“แค่ทำความสะอาดบ้านนิดหน่อยค่ะ คุณเหนื่อยไหมคะ?” ชลธิชาโกหกไปตามปกติ
แต่ความลับของชลธิชาก็เริ่มผิดสังเกต เมื่อสุวัฒน์เริ่มพบว่าวัน ๆ หนึ่งภรรยาของเขาใช้เวลาไปหลายชั่วโมงโดยไม่บอกเขาว่าจะไปไหน
ความจริงที่เปิดเผย
วันหนึ่ง ชนินทร์ลูกชายของสุวัฒน์บังเอิญเห็นภรรยาของเขากำลังเดินจับมือกับสุเมธที่ข้างนอกบ้าน ชนินทร์รีบวิ่งไปบอกพ่อของเขา “พ่อคะ พ่อแม่ดูนั่นสิค่ะ พวกเขากำลังเดินไปด้วยกัน”
สุวัฒน์ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรจึงเดินไปดูด้วยตัวเอง และได้เห็นความจริงที่ยากจะเชื่อ สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็มาถึง ภรรยาของเขามีชู้
การตัดสินใจของสุวัฒน์
สุวัฒน์ยืนมองภาพนั้นด้วยความเจ็บปวด แต่เขาไม่ยอมเสียความสงบจิตใจ เขาตัดสินใจเข้าไปพูดกับชลธิชาอย่างเงียบ ๆ และสุเมธด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“ชลธิชา พี่รักเธอมาก แต่วันนี้เราไม่สามารถเดินทางร่วมกันได้อีกแล้ว ถ้าความรักของเธอไปที่อื่น ฉันก็ไม่สามารถขัดขวางได้” สุวัฒน์พูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้า
ชลธิชารู้สึกผิดและเสียใจมาก แต่ก็ไม่สามารถหาทางกลับตัวได้ “พี่สุวัฒน์ ขอโทษ… ฉัน…”
บทเรียนจากความซื่อสัตย์
หลังจากเหตุการณ์นั้น สุวัฒน์ตัดสินใจแยกทางกับชลธิชา แม้จะเสียใจ แต่เขายังคงเป็นพ่อที่ดีให้กับชนินทร์ และทำให้ลูกชายเรียนรู้ถึงความสำคัญของความซื่อสัตย์ในครอบครัว
ชลธิชาเองหลังจากได้รู้จักกับความเจ็บปวดของการนอกใจและการสูญเสียสิ่งที่รักที่สุด ก็ต้องทนกับผลกรรมที่ตามมา และเรียนรู้ว่า ความซื่อสัตย์ คือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตครอบครัว
คติสอนใจ:
“ความรักที่แท้จริงต้องมาจากความซื่อสัตย์และความไว้วางใจ หากเราทำลายสิ่งเหล่านั้น ผลที่ตามมาก็จะทำให้เราเจ็บปวดและสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต”
นิทานหลากหลายเรื่อง
อ้ายจำเรียนเล่านิทานหลายเรื่อง
ทั้ง กระต่ายกับเต่า ที่สอนเรื่องความพยายามและอดทน โสนน้อยเรือนงาม ที่สอนให้รู้จักความเมตตา และเรื่อง ปลาบู่ทอง ที่ให้บทเรียนเรื่องความกตัญญู
มานะและเพื่อน ๆ ทึ่งในความสามารถของอ้ายจำเรียน ทุกคนปรบมือให้หลังจบแต่ละเรื่อง “ฮ่า ๆ ๆ สนุกจังเลย!” นักท่องเที่ยวหัวเราะด้วยความชื่นชม
การให้กำลังใจ
หลังจากเล่านิทานครบ อ้ายจำเรียนก็ได้รับกำลังใจมากมายจากทั้งนักท่องเที่ยวและเพื่อน ๆ มานะพูดขึ้น “อ้ายจำเรียนสุดยอดจริง ๆ เลย เล่าเรื่องได้สนุกมาก แถมยังให้ข้อคิดดี ๆ อีกด้วย”
นักท่องเที่ยวและเพื่อน ๆ ช่วยกันมอบทิปเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของขวัญกำลังใจให้อ้ายจำเรียน อ้ายจำเรียนยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบคุณทุกคนมากนะครับ การที่พวกคุณตั้งใจฟังนี่แหละคือของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผม”
บทสรุปที่ยอดภูสอยดาว
มานะและเพื่อน ๆ ใช้เวลาบนลานสนอย่างเต็มที่ ทั้งถ่ายรูป เดินชมธรรมชาติ และพูดคุยเรื่องนิทานของอ้ายจำเรียน การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่สนุก แต่ยังเต็มไปด้วยบทเรียนที่มีค่า
คติสอนใจ:
“การแบ่งปันความรู้และเรื่องราวดี ๆ ไม่เพียงสร้างความสุขให้ผู้อื่น แต่ยังเติมเต็มความสุขในหัวใจของเราเอง”
นิทานเรื่องมานะมานีเที่ยวป่าและการช่วยเหลือป่า
กาลครั้งหนึ่ง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับป่าอันเขียวขจี เด็ก ๆ ชื่อว่า มานะ, มานี, ดวงแก้ว, ดวงใจ, ชูใจ, ปิติ, วีระ, และ อ้ายจำเรียน ต่างเป็นเพื่อนสนิทที่รักการผจญภัย พวกเขามักจะออกเดินทางไปเที่ยวป่าหรือที่ต่าง ๆ เพื่อสำรวจธรรมชาติรอบตัว
วันหนึ่ง พวกเขาตัดสินใจที่จะไปเที่ยวป่าใกล้หมู่บ้าน ซึ่งเป็นป่าที่พวกเขามักจะไปเล่นกันในวันหยุด แต่ในครั้งนี้พวกเขามีภารกิจพิเศษ เนื่องจากอ้ายจำเรียนเล่าให้ฟังว่ามีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่ามาหลายเดือนแล้ว
การผจญภัยในป่า
เด็ก ๆ และอ้ายจำเรียนเดินทางไปในป่าลึกเพื่อสำรวจและดูสิ่งที่เกิดขึ้นในป่านั้น พวกเขาผ่านทางเดินที่รกชัฏและได้เห็นต้นไม้ที่ถูกตัดทิ้งเหลือแต่ซากไม้เปล่า ๆ เมื่อเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน และพบกับกลุ่มคนที่กำลังตัดไม้และเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย
การตัดสินใจ
มานะและเพื่อน ๆ รู้สึกตกใจที่เห็นการทำลายป่า ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และแหล่งน้ำของชาวบ้าน พวกเขาตัดสินใจไม่ทำอะไรที่เป็นอันตราย แต่เลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือธรรมชาติ
โทรแจ้งเบาะแส
มานีที่มีโทรศัพท์มือถือกับตัวจึงโทรแจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบถึงการลักลอบตัดไม้ในป่า หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาถึงและจับกุมกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายได้
การเรียนรู้และคติสอนใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เด็ก ๆ และอ้ายจำเรียนได้กลับมาที่หมู่บ้านและได้พูดคุยกันถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ พวกเขาเรียนรู้ว่าถ้าเราเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เราต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องร่วมมือกันปกป้องสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป
คติสอนใจ:
“การทำสิ่งที่ถูกต้องแม้ในเวลาที่ยากลำบากจะนำมาซึ่งผลดีในที่สุด และการร่วมมือกันปกป้องธรรมชาติคือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับทุกคน”
---
มานะมานีเที่ยวป่าและการช่วยเหลือป่า
กาลครั้งหนึ่ง
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับป่าอันเขียวขจี เด็ก ๆ ชื่อว่า มานะ, มานี, ดวงแก้ว, ดวงใจ, ชูใจ, ปิติ, วีระ, และ อ้ายจำเรียน ต่างเป็นเพื่อนสนิทที่รักการผจญภัย พวกเขามักจะออกเดินทางไปเที่ยวป่าหรือที่ต่าง ๆ เพื่อสำรวจธรรมชาติรอบตัว
วันหนึ่ง พวกเขาตัดสินใจที่จะไปเที่ยวป่าใกล้หมู่บ้าน ซึ่งเป็นป่าที่พวกเขามักจะไปเล่นกันในวันหยุด แต่ในครั้งนี้พวกเขามีภารกิจพิเศษ เนื่องจากอ้ายจำเรียนเล่าให้ฟังว่ามีการลักลอบตัดไม้ทำลายป่ามาหลายเดือนแล้ว
การผจญภัยในป่า
เด็ก ๆ และอ้ายจำเรียนเดินทางไปในป่าลึกเพื่อสำรวจและดูสิ่งที่เกิดขึ้นในป่านั้น พวกเขาผ่านทางเดินที่รกชัฏและได้เห็นต้นไม้ที่ถูกตัดทิ้งเหลือแต่ซากไม้เปล่า ๆ เมื่อเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน และพบกับกลุ่มคนที่กำลังตัดไม้และเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย
การตัดสินใจ
มานะและเพื่อน ๆ รู้สึกตกใจที่เห็นการทำลายป่า ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และแหล่งน้ำของชาวบ้าน พวกเขาตัดสินใจไม่ทำอะไรที่เป็นอันตราย แต่เลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือธรรมชาติ
โทรแจ้งเบาะแส
มานีที่มีโทรศัพท์มือถือกับตัวจึงโทรแจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบถึงการลักลอบตัดไม้ในป่า หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาถึงและจับกุมกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายได้
การเรียนรู้และคติสอนใจ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เด็ก ๆ และอ้ายจำเรียนได้กลับมาที่หมู่บ้านและได้พูดคุยกันถึงความสำคัญของการรักษาธรรมชาติ พวกเขาเรียนรู้ว่าถ้าเราเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เราต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และต้องร่วมมือกันปกป้องสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป
คติสอนใจ:
“การทำสิ่งที่ถูกต้องแม้ในเวลาที่ยากลำบากจะนำมาซึ่งผลดีในที่สุด และการร่วมมือกันปกป้องธรรมชาติคือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับทุกคน”
มานะมานี ตอนชูใจจ้างอ้ายจำเรียนทำคลิปวีดีโอบอกรักมานี
กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ
มีเด็กหญิงชื่อ ชูใจ ที่มีความรู้สึกพิเศษต่อเพื่อนสาวคนหนึ่งชื่อ มานี พวกเขาทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็ก ชูใจมักจะช่วยเหลือมานีในทุกเรื่องและรู้สึกผูกพันกับมานีมาก แต่ยังไม่เคยแสดงออกว่าเธอชอบมานีมากแค่ไหน
วันหนึ่ง ชูใจคิดว่าการบอกรักมานีในแบบที่แสดงออกได้ชัดเจนจะทำให้มานีรู้ว่าชูใจมีความรู้สึกพิเศษต่อเธอ แต่การพูดออกไปตรงๆ ก็ยังทำให้ชูใจรู้สึกเขินอาย เธอจึงหาวิธีที่ไม่ต้องพูดคำว่า "รัก" โดยตรง แต่สามารถแสดงความรู้สึกได้ดีที่สุด
การจ้างอ้ายจำเรียน
ชูใจรู้ว่า อ้ายจำเรียน เป็นคนที่มีทักษะในการทำคลิปวีดีโอและเขาก็เป็นที่รู้จักในหมู่บ้านสำหรับการทำสิ่งต่างๆ ให้ดูน่าสนใจ และมีความสามารถในการเล่าเรื่องอย่างมีสีสัน ชูใจจึงตัดสินใจจ้างอ้ายจำเรียนให้ช่วยทำคลิปวีดีโอบอกรักมานีในลักษณะน่ารักๆ โดยที่ไม่ต้องพูดคำว่า "รัก" แต่ผ่านการกระทำและคำพูดที่แสดงความห่วงใย
การทำคลิปวีดีโอ
วันหนึ่งหลังจากเลิกเรียน ชูใจพามานีไปที่ลานวัดเพื่อพบกับอ้ายจำเรียน อ้ายจำเรียนเตรียมกล้องถ่ายวีดีโอและเริ่มถ่ายทำ โดยให้ชูใจพูดถึงมานีในรูปแบบที่อบอุ่นและน่ารัก ชูใจเล่าว่ามานีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและสนับสนุนกันในทุกสถานการณ์ โดยที่เธอไม่เคยรู้สึกเหงาเลยเพราะมีมานีอยู่ข้างๆ
หลังจากนั้น อ้ายจำเรียนก็เริ่มใส่เพลงซึ้งๆ เข้าไปในคลิป และตัดต่อให้กลายเป็นวีดีโอที่เต็มไปด้วยความหมาย ซึ่งเป็นการบอกรักผ่านการกระทำและความเอื้ออาทรที่แสดงออกมาในวีดีโอ
การเปิดดูคลิป
เมื่อคลิปเสร็จแล้ว อ้ายจำเรียนส่งลิงก์คลิปให้ชูใจและมานีดูด้วยกัน พอมานีได้ดูคลิปแล้วก็ยิ้มและรู้สึกอบอุ่นใจ เธอไม่คิดว่าชูใจจะมีความรู้สึกแบบนี้ต่อเธอ มานีดีใจที่ได้รู้ว่ามีเพื่อนที่ห่วงใยเธอมากขนาดนี้ และรู้สึกประทับใจในวิธีการที่ชูใจเลือกใช้ในการแสดงความรู้สึก
คติสอนใจ:
“การแสดงความรักและความห่วงใยไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเสมอไป การกระทำที่จริงใจและการแสดงออกด้วยวิธีที่เหมาะสมสามารถทำให้คนที่เรารักรู้สึกถึงความรักที่เราให้ไป”
---
เรื่องนี้เป็นการแสดงถึงความใส่ใจในมิตรภาพและการแสดงออกในแบบที่เหมาะสมค่ะ Bee คิดว่าอะไรในเรื่องนี้น่าสนใจที่สุดไหมคะ?