นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนเรื่องมานะมานี
นิทานเรื่องมานะมานี
ตอนที่1มานะมานี
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มานะและมานี พี่น้องคู่ซี้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในบ้านไม้หลังอบอุ่น มานะเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ส่วนมานีเป็นเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้งสองรักกันมากและมักเล่นด้วยกันเสมอ
มานีมีเพื่อนตัวโปรดเป็นน้องหมาสีขาวขนปุยชื่อว่า เจ้าโต เจ้าโตฉลาดและซุกซน มันชอบตามมานีไปทุกที่ ทั้งสองตัวเหมือนเงาตามตัว
เช้าวันหนึ่งที่สดใส
ในวันหยุด มานะกับมานีตัดสินใจออกไปเก็บดอกไม้ริมทุ่งหลังบ้าน “มานะ พี่อย่าไปไกลนะ” มานีพูดขณะเก็บดอกไม้สีสันสดใส เจ้าโตก็วิ่งเล่นไปมาอย่างสนุกสนาน
“ไม่ต้องห่วง พี่ดูแลมานีอยู่แล้ว” มานะตอบ
เจ้าโตหายไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลิน เจ้าโตกลับวิ่งหายเข้าไปในป่าใกล้ ๆ “เจ้าโต! กลับมานะ!” มานีตะโกนด้วยความตกใจ
มานะเห็นมานีทำท่าจะวิ่งตามเจ้าโตเข้าไปในป่า จึงรีบจับแขนน้องไว้ “มานี เดี๋ยวเราหลงนะ! ป่าไม่ใช่ที่เล่น อย่าเข้าไปโดยไม่มีผู้ใหญ่นะ”
“แต่มานีห่วงเจ้าโต!” มานีพูดน้ำตาคลอ
ตามหาเจ้าโต
มานะคิดสักครู่ก่อนพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วง เราจะหาวิธีตามหาเจ้าโตด้วยกัน พี่จะช่วยเอง” มานะพามานีกลับไปที่บ้านและเล่าเรื่องให้พ่อแม่ฟัง
พ่อจึงให้คำแนะนำ “เราต้องใจเย็น ๆ และเรียกเจ้าโตให้กลับมา อาจใช้เสียงที่มันคุ้นเคยหรือของที่มันชอบ”
มานีจึงนำชามข้าวโปรดของเจ้าโตออกมา พร้อมกับเขย่าชามเบา ๆ แล้วเรียกมันเสียงดัง “เจ้าโต มากินข้าวเร็ว!”
บทเรียนสำคัญ
ไม่นานนัก เจ้าโตก็วิ่งกลับมาจากป่าด้วยท่าทางดีใจ มานะกับมานีโผกอดมันด้วยความโล่งใจ
“เห็นไหมมานี ถ้าเราใจเย็นและคิดหาวิธีแก้ปัญหา เราก็จะเจอทางออกที่ดีเสมอ” มานะพูดพร้อมลูบหัวน้องสาว
มานีพยักหน้า “ต่อไปมานีจะไม่ดื้อและฟังพี่มานะให้มากขึ้นค่ะ”
คติสอนใจ:
“การแก้ปัญหาต้องอาศัยสติและความร่วมมือ อย่าปล่อยให้ความรีบร้อนทำให้เราพลาดสิ่งสำคัญ”
ตั้งแต่นั้นมา มานะและมานีดูแลเจ้าโตอย่างใกล้ชิด และทุกครั้งที่มีปัญหา พวกเขาก็จะช่วยกันคิดและหาทางออกด้วยความสามัคคี
นิทานเรื่องมานะมานี ตอนปิติเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
ปิติถูกว่าเป็นเด็กเลี้ยงแกะ
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ แสนสงบใกล้ภูเขา มีกลุ่มเด็ก ๆ ที่สนิทกันมาก ได้แก่ มานะ มานี ชูใจ ปิติ วีระ เพชร ดวงแก้ว รวมถึงเจ้าโต สุนัขของมานี และเจ้าแก่ ลาแสนรู้ของชูใจ
วันหนึ่ง เด็ก ๆ นัดกันไปเล่นที่ทุ่งหญ้ากว้างหลังหมู่บ้าน พวกเขาพากันเก็บดอกไม้ วิ่งเล่น และดูแลเจ้าโตกับเจ้าแก่ที่กำลังกินหญ้าอย่างเพลิดเพลิน
ปิติกับเรื่องล้อเล่น
ปิติซึ่งเป็นเด็กขี้เล่นและซุกซน ชอบแกล้งเพื่อน ๆ เสมอ วันนั้นเขานึกสนุกจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ช่วยด้วย! มีหมาป่ามา!”
เพื่อน ๆ ทุกคนตกใจและรีบวิ่งมาหาเขา “ปิติ หมาป่าอยู่ไหน?” มานะถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
ปิติหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีหรอก! แค่ล้อเล่นน่ะ”
ทุกคนพากันถอนหายใจ และชูใจพูดขึ้น “ปิติ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ พวกเราตกใจหมดเลย”
แต่ปิติไม่ฟัง ยังคงหัวเราะและทำหน้าทะเล้น
ครั้งที่สอง
ไม่นานนัก ปิติก็ทำอีกครั้ง เขาตะโกนว่า “ช่วยด้วย! หมาป่ามาอีกแล้ว!”
คราวนี้เพื่อน ๆ ยังคงรีบมาช่วย แต่เมื่อรู้ว่าเขาโกหกอีกครั้ง ทุกคนเริ่มไม่พอใจ “ปิติ ถ้าคราวหน้ามีเรื่องจริง พวกเราจะไม่เชื่อแล้วนะ” ดวงแก้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็แค่สนุกนิดหน่อยเอง” ปิติตอบ แต่ในใจเริ่มรู้สึกผิดเล็กน้อย
หมาป่ามาจริง ๆ
บ่ายวันนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังเล่นอยู่ เจ้าโตเห่าเสียงดังและวิ่งไปหลบหลังมานี ส่วนเจ้าแก่ก็ส่งเสียงร้องเหมือนตกใจ ปิติเห็นเงาสัตว์บางอย่างเคลื่อนไหวในพุ่มไม้ และคราวนี้เขาตะโกนด้วยความกลัวจริง ๆ
“ช่วยด้วย! หมาป่ามาจริง ๆ!”
แต่เพื่อน ๆ ที่เคยถูกหลอกสองครั้ง กลับคิดว่าเขาแค่ล้อเล่นอีก พวกเขาจึงไม่สนใจและพูดว่า “คราวนี้เราจะไม่หลงกลนายแล้ว ปิติ”
ปิติวิ่งไปหาพวกเขาด้วยใบหน้าซีด “ครั้งนี้จริง ๆ นะ! หมาป่ามาจริง ๆ!”
เมื่อเห็นความตกใจในสายตาของปิติ เพื่อน ๆ เริ่มรู้ว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มานะจึงรีบพูดว่า “เร็ว! เราต้องช่วยกัน!”
ความสามัคคีแก้สถานการณ์
มานะกับวีระรีบหาไม้ยาว ๆ เพื่อป้องกันตัว เพชรกับชูใจช่วยกันพาเจ้าโตและเจ้าแก่ไปที่ปลอดภัย ส่วนมานีกับดวงแก้วช่วยกันเรียกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านมาช่วย
ในที่สุด หมาป่าก็ถูกไล่กลับไปในป่า ทุกคนปลอดภัย
บทเรียนสำคัญ
หลังเหตุการณ์สงบลง ปิติเข้าขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยความจริงใจ “เราผิดเองที่ชอบล้อเล่นแบบนั้น ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว”
มานีพูดปลอบใจ “ครั้งนี้โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร แต่หวังว่านายจะจำบทเรียนนี้นะ”
คติสอนใจ:
“คำพูดที่ไม่จริงทำให้คนไม่เชื่อใจ เมื่อพูดความจริงอาจไม่มีใครฟัง ดังนั้นอย่าโกหก แม้แต่เรื่องเล็กน้อย”
ตั้งแต่นั้นมา ปิติก็เลิกนิสัยล้อเล่นเกินเหตุ และเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนที่ดีขึ้นกว่าเดิม
นิทานเรื่องมานะมานีตอน
หลังเลิกเรียน
มานะ มานี กับการช่วยงานที่บ้าน
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน มานะกับมานีเดินกลับบ้านด้วยกัน พวกเขาเพิ่งเรียนหนังสือเสร็จและกำลังจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านหลังจากวันเรียนที่ยาวนาน
มานะช่วยพ่อทำสวนผัก
พอกลับถึงบ้าน มานะเห็นพ่อกำลังทำงานในสวนผักของครอบครัว เขาจึงพูดกับมานีว่า “มานี พี่จะช่วยพ่อในสวน ผักที่พ่อปลูกไว้เริ่มโตแล้ว เรามาช่วยเก็บกันดีกว่า”
มานีพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “มานีจะช่วยแม่ทำงานบ้านค่ะ”
มานะเดินไปที่สวนผักพร้อมกับพ่อ และเริ่มเก็บผักที่โตแล้วใส่ตะกร้า พ่อยิ้มและพูดว่า “มานะทำได้ดีมากเลย พ่อรู้ว่ามานะโตขึ้นแล้ว จะช่วยงานพ่อได้เยอะ”
“พ่อครับ ผักพวกนี้เราจะขายที่ตลาดใช่ไหมครับ?” มานะถาม
“ใช่แล้ว พ่อปลูกผักไว้ขายเพื่อหากิน แต่เราก็ต้องดูแลสวนให้ดีด้วยนะ อย่าทิ้งมัน” พ่ออธิบาย
มานะยิ้มและขยันเก็บผักอย่างตั้งใจ โดยไม่ลืมช่วยพ่อดูแลต้นผักที่กำลังเติบโตให้ได้ดี
มานีช่วยแม่ทำงานบ้าน
ในขณะที่มานะช่วยพ่อ มานีก็ทำงานบ้านที่อยู่ภายในบ้านอย่างขยันขันแข็ง เธอช่วยแม่ล้างจาน เช็ดโต๊ะ และเก็บของที่กระจัดกระจายจากการทำอาหาร
“มานีทำได้ดีมากเลยค่ะลูก แม่ดีใจที่ลูกช่วยแม่ทำงาน” แม่กล่าวด้วยความสุข
มานียิ้มและพูดว่า “มานีจะช่วยแม่ทุกวันค่ะ เพราะว่าแม่ทำงานหนักเสมอ”
บทเรียนสำคัญ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น มานะกับมานีก็นั่งพักกันที่หน้าบ้านในยามเย็น พ่อกับแม่ก็ออกมานั่งข้าง ๆ และพวกเขาร่วมกันมองเห็นผลของการทำงานหนักในวันนี้
มานะพูดว่า “วันนี้พี่ได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราช่วยพ่อกับแม่ เราจะรู้สึกดีที่ได้ทำประโยชน์ให้กับครอบครัว”
มานีเห็นด้วยและพูดว่า “มานีก็รู้ว่า การช่วยงานบ้านไม่ใช่เรื่องหนักหนาเลย ถ้าเราช่วยกัน ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น”
คติสอนใจ:
“การช่วยเหลือกันในครอบครัวไม่เพียงแต่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ยังทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแข็งแรงและอบอุ่นยิ่งขึ้น”
ตั้งแต่นั้นมา มานะและมานีก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการช่วยพ่อแม่อย่างตั้งใจ และรู้สึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือกันในทุกวัน
นิทานมานีมานะตอนนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า
ในหมู่บ้านหนองน้ำใส เด็ก ๆ อย่างมานะ มานี ชูใจ ปิติ วีระ ดวงแก้ว และเพื่อน ๆ อีกหลายคน ต่างตั้งตารอไลฟ์สดอ่านนิทานของ อ้ายจำเรียน ทุกเย็น เพราะอ้ายจำเรียนอ่านนิทานได้สนุกและมีเสียงไพเราะ
วันพิเศษกับนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า
เย็นวันหนึ่ง อ้ายจำเรียนประกาศผ่านโซเชียลว่า “วันนี้จะอ่านนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า จากป่าลานสนภูสอยดาว ใครอยากฟัง มารวมตัวกันนะ!”
มานะกับมานีตื่นเต้นมาก รีบชวนชูใจ ปิติ วีระ ดวงแก้ว และเพื่อน ๆ มานั่งดูไลฟ์สดที่บ้านมานะ ทุกคนเตรียมขนม หมอน และนั่งล้อมวงหน้าจออย่างตั้งใจ
นิทานเริ่มต้น
เมื่อไลฟ์สดเริ่มต้น อ้ายจำเรียนพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เราจะเล่านิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าในป่าลานสนภูสอยดาว ฟังดี ๆ นะ ว่าความขยันและความอดทนสำคัญแค่ไหน”
เสียงของอ้ายจำเรียนอ่านนิทายเรื่องกระต่ายกับเต่า
กาลครั้งหนึ่ง
ในป่ากว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และลำธารใสแจ๋ว มีสัตว์น้อยใหญ่ใช้ชีวิตร่วมกัน หนึ่งในนั้นคือกระต่ายผู้รวดเร็วและชอบโอ้อวดความสามารถของตน และเต่าผู้เชื่องช้าแต่ขยันและอดทน
การท้าทาย
วันหนึ่ง กระต่ายเห็นเต่าคลานช้า ๆ อยู่กลางทางจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เต่า เจ้าช่างเชื่องช้าจริง ๆ ข้าสามารถวิ่งรอบป่านี้ได้หลายรอบ ขณะที่เจ้าคลานไปได้แค่ไม่กี่ก้าว!”
เต่าหยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ
“ใช่ ข้าอาจเชื่องช้า แต่ข้าก็ไม่เคยหยุดเดิน ถ้าเจ้าแน่จริง เรามาแข่งกันดูไหม ว่าใครจะไปถึงต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนยอดเขาก่อน?”
กระต่ายหัวเราะลั่น “เจ้าจะท้าแข่งกับข้าหรือ? ตกลง! ข้ารับคำท้า”
เริ่มการแข่งขัน
วันรุ่งขึ้น สัตว์ทั้งป่ามารวมตัวกันเพื่อดูการแข่งขันระหว่างกระต่ายกับเต่า เสือโคร่งทำหน้าที่เป็นกรรมการ เขานับถอยหลังและเป่านกหวีดส่งสัญญาณเริ่มการแข่งขัน
กระต่ายกระโดดออกไปด้วยความรวดเร็ว ทิ้งเต่าที่คลานช้า ๆ ไว้ข้างหลังไกลลิบ เมื่อกระต่ายวิ่งไปถึงกลางทาง เขามองไม่เห็นเต่าอยู่ข้างหลังเลยสักนิด
“เจ้าช้าเกินไป ข้าคงไปถึงเส้นชัยก่อนเจ้าอีกนาน” กระต่ายพูดพลางหัวเราะ แล้วตัดสินใจนอนพักใต้ต้นไม้ใหญ่
ความมุ่งมั่นของเต่า
แม้จะคลานช้า แต่เต่าก็ไม่เคยหยุด เขาค่อย ๆ เดินทีละก้าวด้วยความมุ่งมั่น แม้จะเหนื่อยแต่ก็ไม่ย่อท้อ
เมื่อเวลาผ่านไป เต่าเดินมาถึงจุดที่กระต่ายกำลังนอนหลับสนิทใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาไม่ได้สนใจปลุกกระต่าย แต่เดินต่อไปอย่างเงียบ ๆ
บทสรุปที่ไม่คาดฝัน
เมื่อกระต่ายตื่นขึ้นมา เขาตกใจเมื่อเห็นว่าเต่าใกล้ถึงเส้นชัยแล้ว! กระต่ายรีบวิ่งเต็มกำลังเพื่อไล่ตาม แต่ก็ไม่ทัน เต่าก้าวข้ามเส้นชัยไปก่อนท่ามกลางเสียงเชียร์ของสัตว์ทั้งป่า
บทเรียนสำคัญ
กระต่ายยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความอาย เขาพูดกับเต่าว่า “ข้าประมาทเกินไป ข้าควรเรียนรู้จากความพยายามและความมุ่งมั่นของเจ้า”
เต่ายิ้มและตอบว่า “ชัยชนะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับความขยันและไม่ยอมแพ้”
คติสอนใจ:
“ความขยันและความอดทนสำคัญกว่าความสามารถที่ไร้วินัย”
ตั้งแต่นั้นมา กระต่ายก็เลิกโอ้อวดและเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ อย่างตั้งใจมากขึ้น ส่วนเต่าก็ยังคงใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและไม่หยุดเดินตามเส้นทางของตนเอง
เด็ก ๆ สนุกสนานและให้ของขวัญ
เมื่อจบเรื่อง เด็ก ๆ ต่างส่งเสียงชื่นชม “สนุกจังเลย!” มานีพูดพร้อมยิ้มกว้าง
“อ้ายจำเรียนเล่าได้ดีมาก เหมือนเราอยู่ในป่าเลย” ชูใจเสริม
เพื่อเป็นกำลังใจให้กับอ้ายจำเรียน เด็ก ๆ ทุกคนจึงส่งของขวัญในไลฟ์สด มีทั้ง รูปหัวใจสีส้ม ดอกกุหลาบสีแดง และข้อความขอบคุณ
ปิติเขียนในช่องแชตว่า “อ้ายจำเรียนเล่านิทานเก่งที่สุดเลยครับ!”
วีระส่งรูปดอกไม้พร้อมข้อความว่า “เล่าอีกนะครับ ชอบมากเลย!”
คติจากนิทาน
อ้ายจำเรียนกล่าวขอบคุณพร้อมพูดว่า “เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความขยันและความอดทนสำคัญกว่าแค่ความเก่ง แต่ไม่ลงมือทำ ใครฟังแล้วอย่าลืมเอาไปใช้ในชีวิตจริงนะ”
เด็ก ๆ ต่างพยักหน้าและพูดพร้อมกันว่า “จะขยันและอดทนเหมือนเต่าค่ะ/ครับ!”
ความสุขจากการฟังนิทาน
หลังไลฟ์สดจบ ทุกคนยังพูดถึงนิทานด้วยความตื่นเต้น มานะพูดกับมานีว่า “ครั้งหน้าเราต้องชวนเพื่อนมาฟังกันอีกนะ สนุกมากเลย”
มานีพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่! นิทานของอ้ายจำเรียนทำให้เราได้ข้อคิดดี ๆ ทุกครั้งเลย”
คติสอนใจ:
“ความขยันและความอดทนจะนำพาเราไปถึงเป้าหมาย แม้จะต้องใช้เวลา แต่ผลลัพธ์จะคุ้มค่าเสมอ”
ตั้งแต่นั้นมา เด็ก ๆ ต่างเฝ้ารอไลฟ์สดนิทานจากอ้ายจำเรียนทุกครั้ง และพวกเขาก็ได้เรียนรู้ข้อคิดดี ๆ จากนิทานไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
นิทานเรื่องมานะมานี ตอนมานีไปจ่ายตลาดสดป่าแดง
มานะ มานี ตอนมานีไปตลาดสดป่าแดง
เช้าวันใหม่
วันหนึ่ง มานีตื่นแต่เช้าและช่วยแม่เตรียมของสำหรับไปจ่ายตลาดสดป่าแดงในอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ตลาดนี้มีชื่อเสียงเรื่องความคึกคักและของสดนานาชนิด
“มานี แต่งตัวเสร็จหรือยังลูก? เราจะไปตลาดกัน” แม่เรียก
“เสร็จแล้วค่ะ!” มานีตอบอย่างกระตือรือร้น
ถึงตลาดสดป่าแดง
เมื่อมาถึงตลาด มานีตื่นตาตื่นใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของพ่อค้าแม่ค้าและกลิ่นหอมของผลไม้สดใหม่ เธอเดินตามแม่ไปซื้อผัก ผลไม้ และเนื้อสดอย่างมีความสุข
ขณะกำลังเดินสำรวจรอบ ๆ มานีเหลือบไปเห็นมุมหนึ่งของตลาด ที่นั่นมี อ้ายจำเรียน นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เขากำลังอ่านนิทาน เรื่องโสนน้อยเรือนงาม ให้ผู้คนในตลาดฟัง
อ้ายจำเรียนอ่านนิทาน
เสียงของอ้ายจำเรียนดังชัดเจนและไพเราะ “โสนน้อยเรือนงามเป็นหญิงงามผู้มีปัญญาเฉียบแหลม เธอไม่เพียงแต่สวย แต่ยังกล้าหาญและมีน้ำใจต่อผู้ยากไร้...”
มานีหยุดฟังอย่างตั้งใจ เธอรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวและจินตนาการภาพของโสนน้อยเรือนงามในหัว
โสนน้อยเรือนงามตอนพบพระวิจิตรจินดา
กษัตริย์นครโรมวิสัยมีพระราชธิดาที่สวยงามมาก พระราชธิดานี้เมื่อประสูติมีเรื่อนไม้เล็กๆ
ติดมือออกมาด้วย เรือนนี้เมื่อพระธิดาเจริญวัยขึ้น เรือนไม้นี้ก็โตขึ้นด้วยและกลายเป็นของเล่นของพระราชธิดา พระบิดาจึงตั้งชื่อพระราชธิดาว่า โสนน้อยเรือนงาม เมื่อโสนน้อยเรือนงามมีพระชนม์พรรษาได้สิบห้าพรรษา โหรทูลพระบิดาว่าโสนน้อยเรือนงามกำลังมีเคราะห์ ควรให้ออกไปจากเมืองเสีย เพราะจะต้องอภิเษกกับคนที่ตายแล้ว พระบิดาและพระมารดาก็จำใจให้โสนน้อยเรือนงามออกไปจากเมืองแต่ผู้เดียว โสนน้อยเรือนงามปลอมตัวเป็นชาวบ้านและเอาเครี่องทรงพระราชธิดาห่อไว้ พระอินทร์สงสารนางจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมามอบยาวิเศษสำหรับรักษาคนตายให้ฟื้นได้ โสนน้อยเรือนงามเดินทางเข้าไปในป่าพบนางกุลาหญิงใจร้ายนอนตายเพราะถูกงูกัด โสนน้อยเรือนงามจึงนำยาของชีปะขาวมารักษา นางกุลาก็ฟื้น นางจึงขอเป็นทาสติดตามโสนน้อยเรือนงาม.
ที่นครนพรัตน์เมืองใกล้เคียงโรมวิสัยมีกษัตริย์ครองอยู่ มีพระราชโอรสนามว่า พระวิจิตรจินดา ซึ่งเป็นชายหนุมรูปงามและมีความสามารถ แต่วันหนึ่งพระวิจิตรจินดาถูกงูพิษกัดสิ้นพระชนม์ พระบิดาและพระมารดาเศร้าโศรกเสียใจมาก แต่โหรทูลว่า พระวิจิตรจินดาจะสิ้นพระชนม์ไปเจ็ดปีแล้วจะมีพระราชธิดาของเมื่องอื่นมารักษาได้ พระบิดาและพระมารดาจึงเก็บพระศพของพระวิจิตรจินดาไว้ และมีประกาศให้คนมารักษาให้ฟื้น.
โสนน้อยเรือนงามและนางกุลาเดินทางมาถึงเมืองนพรัตน์ได้ทราบจากประกาศ จึงเข้าไปในวังและอาสาทำการรักษา โดยขอให้กั้นม่านเจ็ดชั้น ไม่ให้ใครเห็นเวลารักษา โสนน้อยเรือนงามแต่งเครื่องทรงพระราชธิดาทำการรักษา โดยนางกุลาติดตามเฝ้าดู เมื่อโสนน้อยเรือนงามทายาให้พระวิจิตรจินดา พิษของนาคราชเป็นไอร้อนออกมาทำให้นางรู้สึกร้อนมาก จึงถอดเครื่องทรงพระราชธิดาออกแล้วเสด็จไปสรงน้ำ ระหว่างนั้นนางกุลาก็นำเครื่องทรงพระราชธิดาของโสนน้อยเรือนงามามแต่ง พอดีพระวิจิตรจินดาฟื้น ทุกคนก็คิดว่านางกุลาเป็นพระราชธิดาที่รักษาจึงเตรียมจะให้อภิเษก ส่วนโสนน้อยเรือนงามต้องกลายเป็นข้าทาสของนางกุลาไป พระวิจิตรจินดาและพระบิดาและพระมารดาก็ยังมีความสงสัยในนางกุลา จึงให้นางเย็บกระทงใบตองถวาย นางกุลาทำไม่ได้โยนใบตองทิ้งไป โสนน้อยเรือนงามเก็บใบตองมาเย็บเป็นกระทงสวยงาม นางกุลาก็แย้งไปถวายพระราชบิดามารดาของพระวิจิตรจินดา พระวิจิตรจินดาไม่อยากอภิเษกกับนางกุลาจึงขอลาพระบิดาพระมารดาไปเที่ยวทางทะเล พระบิดาพระมารดาให้นางกุลาย้อมผ้าผูกเรือ นางกุลาก็ทำไม่เป็น โยนผ้าและสีทิ้ง โสนน้อยเรือนงามเก็บผ้าและสีไปย้อมได้สีงดงาม นางกุลาก็แย้งนำไปถวายพระบิดาพระมารดาอีก.
เมื่อพระวิจิตรจินดาจะออกเรือก็ปรากฎว่าเรือไม่เคลื่อนที่พระวิจิตรจินดาทรงคิดว่าคงมีผู้มีบุญในวังต้องการฝากซื้อของ เรือจึงไม่เคลื่อนที่จึงให้ทหารมาถามรายการของที่คนในวังจะฝากซื้อ ทุกคนก็ได้มีโอกาสฝากซื้อ แต่โสนน้อยเรือนงามอยู่ใต้ถุนถึงไม่มีใครไปถาม เรือก็ยังไม่เคลื่อนที่ พระวิจิตรจินดาจึงให้ทหารกลับไปค้นหาคนในวังที่ยังไม่ได้ฝากซื้อของ ทหารจึงได้ไปค้นหานางโสนน้อยเรือนงามได้ นางจึงฝากซื้อ ” โสนน้อยเรือนงาม ” เมือพระวิจิตรจินดาเดินทางไป ลมก็บันดาลให้พัดไปยังเมืองโรมวิสัยของพระบิดาของโสนน้อยเรือนงาม พระวิจิตรจินดาซื้อของฝากได้จนครบทุกคน ยกเว้นโสนน้อยเรื่อนงาม พระวิจิตรจินดาจึงสอบถามจากชาวเมือง ชาวเมืองบอกว่าโสนน้อยเรือนงามมีอยู่แต่ในวังเท่านั้น พระวิจิตรจินดาจึงเข้าไปในวังและทูลขอซื้อโสนน้อยเรือนงามไปให้นางข้าทาส พระบิดาของโสนน้อยเรือนงามทรงถามถึงรูปร่างหน้าตาของนางทาส ก็ทรงทราบว่าเป็นพระธิดา จึงมอบโสนน้อนเรือนงามให้พระวิจิตรจินดาและให้ทหารตามมาสองคน.
เมื่อพระวิจิตรจินดากลับถึงบ้านเมือง ทหารสองคนก็ไปทำความเคารพนางโสนน้อยเรือนงาม และเรือนวิเศษก็ขยายเป็นเรือนใหญ่มีข้าวของเครื่องใช้พระธิดาครบถ้วน โสนน้อยเรือนงามก็เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น พระวิจิตรจินดาจึงแน่ใจว่าโสนน้อยเรือนงามเป็นพระราชธิดาที่รักษาตน จึงจะฆ่านางกุลาแต่โสนน้อยเรือนงามขอชีวิตไว้ พระวิจิตรจินดาก็ได้อภิเษกกับนางโสนน้อยเรือนงามและอยู่ด้วยกันมีความสุขสืบไป.
โสนน้อยเรือนงามตอนนางกาหลง
กาลครั้งหนึ่ง
ในอาณาจักรอันงดงามแห่งหนึ่ง มีเจ้าหญิงนามว่า โสนน้อยเรือนงาม นางมีชื่อเสียงเลื่องลือในความงดงามทั้งรูปโฉมและจิตใจ นางเป็นผู้มีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และปกครองบ้านเมืองด้วยความยุติธรรม
ในอาณาจักรเดียวกัน มีหญิงสาวชื่อ นางกุลา ซึ่งมีนิสัยตรงกันข้ามกับโสนน้อย นางเป็นคนเห็นแก่ตัว อิจฉาริษยา และมักดูถูกผู้ที่ต่ำต้อยกว่า
โสนน้อยพบเจอนางกุลา
วันหนึ่ง โสนน้อยออกเดินทางไปเยี่ยมเยียนราษฎรตามหมู่บ้าน ทันใดนั้น นางได้พบกับนางกุลาที่กำลังขอทานอยู่ริมทาง ท่าทางของนางกุลาดูทุกข์ทรมานและน่าสงสารมาก
โสนน้อยหยุดม้าของนางและลงไปถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าเป็นอะไรหรือ ทำไมถึงนั่งอยู่ตรงนี้?”
นางกุลาตอบด้วยความโมโห “ข้าถูกชาวบ้านขับไล่เพราะพวกเขาว่าข้าทำตัวไม่ดี พวกเขาไม่ยอมช่วยเหลือข้าเลย”
โสนน้อยมองนางกุลาด้วยความสงสาร นางไม่ถือโทษโกรธแต่อย่างใด และพูดว่า “เจ้าคงลำบากมาก ให้ข้าช่วยเจ้าเถิด”
การช่วยเหลือจากโสนน้อย
โสนน้อยพานางกุลามายังวังหลวง นางให้เสื้อผ้า อาหาร และที่พักแก่นางกุลา พร้อมกับสอนเรื่องความเมตตาและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
“เจ้าจงจำไว้ว่าความเมตตาและการให้คือสิ่งสำคัญ หากเจ้าทำสิ่งดี สิ่งดีก็จะกลับมาหาเจ้า” โสนน้อยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความเปลี่ยนแปลงของนางกุลา
ในช่วงแรก นางกุลายังคงนิสัยเดิม แต่เมื่ออยู่ในวังและเห็นความดีของโสนน้อย นางเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง นางเรียนรู้ที่จะพูดจาไพเราะและช่วยเหลือผู้อื่น นางเริ่มทำงานช่วยเหลือผู้ยากไร้เหมือนที่โสนน้อยเคยช่วยนาง
ไม่นาน ชาวบ้านเริ่มยอมรับนางกุลาอีกครั้ง นางได้กลายเป็นคนใหม่ที่เต็มไปด้วยความเมตตาและน้ำใจ
บทเรียนสำคัญ
เมื่อเวลาผ่านไป นางกุลาได้ขอบคุณโสนน้อยด้วยความจริงใจ “ข้าขอบคุณที่เจ้าเมตตาข้าในวันที่ข้าตกต่ำ หากไม่ได้เจ้า ข้าคงไม่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
โสนน้อยยิ้มและตอบว่า “ทุกคนมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ได้ หากเรามีความตั้งใจและไม่ยอมแพ้”
คติสอนใจ:
“ความเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้ และการให้อภัยคือจุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง”
โสนน้อยเรือนงามตอนพรวิเศษ
กาลครั้งหนึ่ง
ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและทุ่งดอกไม้ มีครอบครัวชาวนาใจดีอาศัยอยู่ พวกเขามีลูกสาวคนเดียวชื่อ โสนน้อย เธอเป็นเด็กหญิงหน้าตางดงาม มีผิวพรรณผ่องใสดั่งจันทร์เพ็ญ และจิตใจดีงามจนใคร ๆ ต่างรักใคร่
โสนน้อยและความใจดี
แม้ครอบครัวจะยากจน แต่โสนน้อยไม่เคยบ่น เธอช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่ดูแลไร่นาไปจนถึงทอผ้า นอกจากนี้ เธอยังแบ่งปันอาหารให้เพื่อนบ้านที่ยากไร้และช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเสมอ
หญิงชราปริศนา
วันหนึ่ง ขณะที่โสนน้อยกำลังเก็บน้ำจากลำธาร เธอพบกับหญิงชราผู้หนึ่งที่ดูเหนื่อยล้าและหิวโหย
“หนูจ๋า ช่วยยายหน่อยได้ไหม ยายไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว” หญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
โสนน้อยไม่ลังเล เธอยื่นข้าวและน้ำที่พกมาด้วยให้หญิงชรา และช่วยประคองเธอไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่
หญิงชรากล่าวขอบคุณด้วยแววตาอบอุ่น “หนูช่างมีน้ำใจเหลือเกิน ยายจะตอบแทนความดีของหนู”
พรวิเศษ
หญิงชราหยิบหีบเล็ก ๆ ออกมาจากถุงผ้าที่เธอสะพายมาด้วยและยื่นให้โสนน้อย
“นี่คือ หีบวิเศษ มันจะสร้างบ้านเรือนงามให้หนู เมื่อหนูเปิดมัน จงใช้อย่างมีสติและแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น”
โสนน้อยรับหีบมาอย่างงง ๆ แต่เธอไม่กล้าถามอะไรมากนัก เธอเพียงกล่าวขอบคุณและเดินกลับบ้าน
บ้านเรือนงามปรากฏขึ้น
เมื่อกลับถึงบ้าน โสนน้อยเปิดหีบวิเศษ ทันใดนั้น บ้านไม้เก่าของครอบครัวก็แปรเปลี่ยนเป็นเรือนงามที่ประดับด้วยดอกไม้หลากสีและหลังคาทองระยิบระยับ
ชาวบ้านต่างพากันมาดูด้วยความตื่นเต้น โสนน้อยจึงเปิดบ้านต้อนรับทุกคน และแบ่งปันอาหารจากหีบวิเศษให้กับผู้ที่ขาดแคลน
การทดสอบความดี
ไม่นาน ชื่อเสียงของโสนน้อยเรือนงามก็กระจายไปถึงพระราชา พระองค์ต้องการทดสอบความดีของเธอ จึงแสร้งปลอมตัวเป็นชายยากจนมาขอความช่วยเหลือ
โสนน้อยไม่รู้ว่าเขาคือพระราชา เธอจึงต้อนรับเขาด้วยความอบอุ่น แบ่งปันอาหารและที่พักให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เมื่อพระราชาเผยตัว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าช่างเป็นหญิงที่จิตใจงดงามยิ่งนัก เรือนงามนี้สมควรคู่กับเจ้า”
ความสุขที่ยั่งยืน
หลังจากนั้น โสนน้อยได้รับเชิญไปอยู่ในวัง เธอกลายเป็นที่รักของทุกคน แต่เธอยังคงถ่อมตัวและแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ผู้อื่นเสมอ
คติสอนใจ:
“ความดีและความเมตตาจะนำพาสิ่งดี ๆ มาสู่ชีวิตเราเสมอ”
มานีขอให้กำลังใจอ้ายจำเรียน
“แม่คะ นิทานของอ้ายจำเรียนสนุกมากเลยค่ะ มานีอยากให้กำลังใจเขา”
แม่ยิ้มและพูดว่า “งั้นเอานี่ไปลูก” แล้วหยิบเงิน 20 บาทส่งให้มานี
มานีรีบเดินไปหาอ้ายจำเรียน ยื่นเงินให้พร้อมพูดว่า “อ้ายจำเรียน นิทานสนุกมากค่ะ ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง”
อ้ายจำเรียนยิ้มด้วยความดีใจและตอบว่า “ขอบใจมากนะมานี ถ้าชอบนิทาน คราวหน้ามาอีกได้เลย อ้ายจะเล่าเรื่องใหม่ให้ฟัง”
บทเรียนระหว่างกลับบ้าน
ระหว่างทางกลับบ้าน มานีพูดกับแม่ว่า “แม่คะ อ้ายจำเรียนเล่านิทานเก่งจังเลย มานีได้เรียนรู้ว่าโสนน้อยเรือนงามไม่เพียงสวย แต่เธอยังมีน้ำใจและกล้าหาญ”
แม่พยักหน้า “ใช่จ้ะลูก นิทานไม่ได้มีแค่ความสนุก แต่ยังสอนข้อคิดดี ๆ ให้เราอีกด้วย”
คติสอนใจ:
“การแบ่งปันน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจช่วยให้ผู้อื่นมีกำลังใจสร้างสิ่งดี ๆ ต่อไป”
มานีกลับบ้านด้วยรอยยิ้มและหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุขจากทั้งนิทานและการได้ให้กำลังใจอ้ายจำเรียน