นิทาน4
นิทานเรื่องความรักของ
อ้ายจำเรียนกับคำแก้ว
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนตัดสินใจสารภาพความในใจกับคำแก้ว แต่คำแก้วปฏิเสธอย่างไม่ใยดี นางบอกว่านางมีคนรักอยู่แล้ว อ้ายจำเรียนหัวใจสลาย เขาเสียใจมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
อ้ายจำเรียนตัดสินใจออกเดินทางไปต่างแดนเพื่อลืมความรักที่ผิดหวัง เขาเดินทางไปหลายเมืองและได้พบกับผู้คนมากมาย แต่เขาก็ยังคงคิดถึงคำแก้วอยู่เสมอ
หลายปีผ่านไป อ้ายจำเรียนกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย เขาเดินทางกลับบ้านเกิดและได้พบกับคำแก้วอีกครั้ง คำแก้วตอนนี้แก่ชราและยากจน นางเล่าให้อ้ายจำเรียนฟังว่าคนรักของนางได้ทอดทิ้งนางไปนานแล้ว
อ้ายจำเรียนรู้สึกสงสารคำแก้ว เขาจึงช่วยเหลือและดูแลนางจนกระทั่งนางเสียชีวิต คำแก้วรู้สึกขอบคุณอ้ายจำเรียนมาก นางบอกกับเขาว่านางเสียใจที่ปฏิเสธเขาไปในวันนั้น
อ้ายจำเรียนได้เรียนรู้ว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้มาโดยง่ายดาย บางครั้งเราต้องผ่านความเจ็บปวดและความผิดหวังมากมาย แต่ถ้าเราอดทนและไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งเราจะพบกับความรักที่แท้จริงของเรา
-----
Q26
ความรักของอ้ายจำเรียนกับมะปราง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่ออ้ายจำเรียน เขาเป็นคนขยันและฉลาด แต่โชคร้ายที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในความรัก
วันหนึ่ง อ้ายจำเรียนได้พบกับหญิงสาวชื่อมะปราง เธอเป็นคนสวยและฉลาด อ้ายจำเรียนตกหลุมรักเธอทันที เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะใจเธอ แต่เธอก็ไม่สนใจเขา
อ้ายจำเรียนเสียใจมาก เขาตัดสินใจที่จะลืมเธอและมุ่งมั่นกับการเรียนแทน เขาตั้งใจเรียนอย่างหนักและในที่สุดก็ได้เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียง
หลายปีต่อมา อ้ายจำเรียนได้พบกับมะปรางอีกครั้ง เธอได้กลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามและฉลาดยิ่งกว่าเดิม อ้ายจำเรียนยังคงรักเธออยู่ แต่เขาก็รู้ว่าเธอคงไม่มีวันรักเขา
อ้ายจำเรียนตัดสินใจที่จะสารภาพความรู้สึกของเขาให้มะปรางรู้ เธอประหลาดใจที่ได้ยินคำสารภาพของเขา แต่เธอก็ปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ
อ้ายจำเรียนเสียใจมาก แต่เขาก็เข้าใจ เธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่เธอรัก เขาอวยพรให้เธอมีความสุขและจากไป
อ้ายจำเรียนกลับมาใช้ชีวิตของตัวเอง เขาประสบความสำเร็จในอาชีพการงานและมีเพื่อนที่ดีมากมาย แม้ว่าเขาจะไม่เคยลืมมะปราง แต่เขาก็สามารถก้าวต่อไปได้
และนั่นคือเรื่องราวของอ้ายจำเรียน ชายหนุ่มที่ผิดหวังในความรัก แต่ก็ประสบความสำเร็จในชีวิต
-----
นิทานเรื่อง นายกรัฐมนตรี นายจำเรียน จันทร์รักษา ผู้บริหารประเทศไทย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนอันไกลโพ้น มีประเทศหนึ่งชื่อว่า "ไทยแลนด์" ประเทศนี้ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ พระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช"
ในสมัยนั้น ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ประชาชนยากจนข้นแค้นแสนสาหัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงพสกนิกรของพระองค์ จึงทรงมีพระราชโองการให้หาผู้ที่มีความสามารถมาบริหารประเทศ
เหล่าขุนนางและเสนาบดีต่างก็เสนอชื่อผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากมาย แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัย จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ทรงเสด็จประพาสชนบท พระองค์ได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้
ชายหนุ่มผู้นั้นมีใบหน้าซื่อสัตย์และแววตาฉลาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสถามว่า "เจ้าชื่ออะไร"
ชายหนุ่มกราบทูลว่า "ข้าพระบาทชื่อ จำเรียน จันทร์รัก ขอเดชะ"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซักถามถึงความรู้ความสามารถของชายหนุ่ม จำเรียนเล่าให้พระองค์ฟังถึงประสบการณ์การทำงานของตนในด้านเศรษฐกิจและการบริหาร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในความรู้ความสามารถของจำเรียน จึงทรงแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
จำเรียนรับพระราชโองการด้วยความปลาบปลื้มใจ และตั้งใจแน่วแน่ว่าจะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เขาเริ่มต้นด้วยการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
จำเรียนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เขาสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และจัดสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ผู้ยากไร้
ภายใต้การบริหารของจำเรียน ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่น่าอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
จำเรียนบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและเสียสละเพื่อส่วนรวม เขาไม่เคยแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อความสุขของประชาชน
เมื่อถึงวาระที่จำเรียนจะต้องวางมือจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ประชาชนทั้งประเทศต่างโศกเศร้าและอาลัยรักเขา แต่จำเรียนก็ยังคงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลต่อไป
จำเรียน จันทร์รัก เป็นนายกรัฐมนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เขาเป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์ ฉลาด และเสียสละเพื่อส่วนรวม ชื่อของเขาจะยังคงอยู่ในใจของชาวไทยตลอดไป
-----
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล มีสิงโตตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนั้น สิงโตตัวนี้มีนิสัยดุร้ายและชอบล่าเหยื่อเป็นอาหาร
สิงโตกับงูพิษ
วันหนึ่ง สิงโตตัวนี้ได้ออกล่าเหยื่อตามปกติ แต่กลับไม่พบเหยื่อแม้แต่ตัวเดียว มันเดินเตร่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงก้อนหินก้อนหนึ่งที่มีรูเล็กๆ อยู่
สิงโตตัวนี้รู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงเอามือล้วงเข้าไปในรู แต่ทันใดนั้น มันก็รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส เพราะมีงูพิษตัวหนึ่งกัดเข้าที่มือของมัน
สิงโตตัวนี้ร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดและพยายามดึงมือของมันกลับออกมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ งูพิษตัวนั้นได้ฉีดพิษเข้าไปในร่างกายของสิงโตจนหมดสิ้น
สิงโตตัวนี้รู้ตัวดีว่าตนเองใกล้จะตายแล้ว จึงได้นอนลงและคร่ำครวญถึงความโง่เขลาของตนเองที่ได้เอามือล้วงเข้าไปในรูโดยไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
ในขณะที่สิงโตตัวนี้กำลังจะสิ้นใจนั้น มันได้คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า "อย่าประมาทในสิ่งที่ไม่รู้จัก"
สิงโตตัวนี้ได้สำนึกผิดในบาปกรรมที่ตนเองได้กระทำมา และได้อธิษฐานขอให้พระพุทธเจ้าโปรดอภัยให้กับตนด้วยเถิด
หลังจากนั้น สิงโตตัวนี้ก็ได้สิ้นใจตายลง ณ ที่แห่งนั้น และได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าเดิม
-----
เรื่องเครื่องประดับ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่าพระเจ้าเสริววนิชาธิบดี ครองราชย์อยู่ในเมืองพาราณสี พระองค์ทรงมีพระมเหสีพระนามว่าพระนางเสริววนิชาเทวี พระนางทรงเป็นหญิงงามเลิศล้ำ มีพระทัยโอบอ้อมอารี
วันหนึ่ง พระเจ้าเสริววนิชาธิบดีเสด็จออกว่าราชการ พระนางเสริววนิชาเทวีจึงเสด็จไปเยี่ยมพระอัครมเหสี พระนางทรงเห็นพระอัครมเหสีทรงเครื่องประดับอันวิจิตรอลังการ จึงเกิดความริษยาขึ้นมาในพระทัย
พระนางเสริววนิชาเทวีจึงเสด็จกลับมายังตำหนัก แล้วตรัสสั่งให้พระพี่เลี้ยงไปนำเครื่องประดับอันวิจิตรอลังการมาจากพระคลัง พระพี่เลี้ยงกราบทูลว่าเครื่องประดับเหล่านั้นเป็นของพระอัครมเหสี พระนางเสริววนิชาเทวีจึงตรัสสั่งให้พระพี่เลี้ยงไปขโมยเครื่องประดับเหล่านั้นมา
พระพี่เลี้ยงจำใจต้องไปขโมยเครื่องประดับมาให้พระนางเสริววนิชาเทวี พระนางทรงสวมเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วเสด็จไปเฝ้าพระเจ้าเสริววนิชาธิบดี พระองค์ทรงเห็นพระนางทรงเครื่องประดับอันวิจิตรอลังการก็ทรงพิโรธนัก
พระเจ้าเสริววนิชาธิบดีตรัสสั่งให้พระพี่เลี้ยงไปนำพระอัครมเหสีมา พระอัครมเหสีเสด็จมาเฝ้าพระเจ้าเสริววนิชาธิบดี พระองค์ทรงซักถามเรื่องเครื่องประดับ พระอัครมเหสีกราบทูลว่าพระนางไม่ได้ทรงขโมยเครื่องประดับมา
พระเจ้าเสริววนิชาธิบดีไม่ทรงเชื่อ จึงตรัสสั่งให้ลงโทษพระอัครมเหสี พระอัครมเหสีทรงเสียพระทัยนัก จึงเสด็จหนีออกจากพระราชวังไป
พระอัครมเหสีเสด็จไปอาศัยอยู่ในป่า พระนางทรงตั้งครรภ์และประสูติโอรสพระองค์หนึ่ง พระนางทรงตั้งพระนามโอรสว่าพระกุมารเสริววนิชา
พระกุมารเสริววนิชาทรงเจริญวัยขึ้นมาเป็นหนุ่มรูปงาม มีพระทัยโอบอ้อมอารี วันหนึ่ง พระกุมารเสริววนิชาเสด็จออกล่าสัตว์ในป่า พระองค์ทรงพบพระเจ้าเสริววนิชาธิบดี พระองค์จำพระราชบิดาได้ จึงเสด็จเข้าไปกราบ
พระเจ้าเสริววนิชาธิบดีทรงโสมนัสมากที่ได้พบพระโอรส จึงทรงอภัยโทษให้พระอัครมเหสีและนำพระนางกลับมายังพระราชวัง พระเจ้าเสริววนิชาธิบดีทรงสละราชสมบัติให้พระกุมารเสริววนิชา และพระกุมารเสริววนิชาก็ได้ครองราชย์สมบัติสืบต่อจากพระราชบิดา
-----
นิทานเรื่องอ้ายจำเรียนกับชู
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มชื่อ อ้ายจำเรียน เขาเป็นคนขยันขันแข็ง แต่ยากจนมาก วันหนึ่งเขาได้ไปขุดดินในป่า แล้วก็ได้พบกับหม้อทองคำใบใหญ่ เขาจึงนำหม้อทองคำนั้นกลับบ้านไปให้แม่
แม่ของอ้ายจำเรียนดีใจมาก นางจึงนำทองคำไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มาไว้ในบ้าน แล้วก็จ้างคนมาสร้างบ้านใหม่ให้อ้ายจำเรียนอยู่
เมื่ออ้ายจำเรียนมีเงินทองมากมาย เขาก็เริ่มเที่ยวเตร่และดื่มเหล้าจนเมามายทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้ไปเที่ยวงานวัด แล้วก็ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ ชู
ชูเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก อ้ายจำเรียนจึงตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น เขาจึงขอให้แม่ไปสู่ขอชูมาเป็นภรรยาของเขา
แม่ของอ้ายจำเรียนก็ดีใจมาก นางจึงไปสู่ขอชูมาเป็นภรรยาของลูกชาย แต่ชูเป็นหญิงสาวที่ขี้เกียจและไม่ชอบทำงาน เธอชอบนอนตื่นสายและใช้เงินของอ้ายจำเรียนไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ
อ้ายจำเรียนเริ่มเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของชู เขาจึงเริ่มดื่มเหล้าหนักขึ้นทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้เมาจนหลับไปในป่า แล้วก็ถูกเสือมากิน
เมื่อชูรู้ว่าอ้ายจำเรียนตายแล้ว เธอก็ไม่เสียใจเลย เธอกลับดีใจด้วยซ้ำ เพราะเธอจะได้ใช้เงินของอ้ายจำเรียนได้ตามใจชอบ
ชูใช้เงินของอ้ายจำเรียนไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ จนหมดเกลี้ยง แล้วเธอก็กลายเป็นขอทานในที่สุด
-----
Q55
Q30